ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 2 ในโลกสื่อออนไลน์ ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (TCIJ) จัดงานสังสรรค์เพื่อร่วมแบ่งปันความคิดกันที่ห้องกมลพร โรงแรมสยามซิตี้ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.30 – 22.00 น. โดยมีผู้ที่ทำงานอยู่ในแวดวงสื่อมาร่วมประมาณ 40 คน
สุชาดา จักรพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ฯ กล่าวถึงแนวคิดการทำ TCIJ ว่า เพราะทุกวันนี้สื่อออนไลน์มีบทบาทมากและจะมากยิ่งขึ้นในอนาคต แต่เนื้อหาของข่าวสารทั้งที่เผยแพร่ในสื่อออนไลน์และสื่อหลักแขนงต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ หรือโทรทัศน์ ส่วนใหญ่มักเป็นข่าวสั้นๆ ที่ขาดข้อมูลรายละเอียดเพื่อการรับรู้และสร้างความเข้าใจอย่างถูกต้อง จึงอยากทำงานข่าวแบบสืบสวนเจาะลึกข้อมูลรายละเอียดมากกว่าแค่ทำข่าวปรากฏการณ์หรือโต้ตอบกัน และไม่ใช่เน้นแต่เรื่องการเมืองเท่านั้น โดยเห็นว่าช่องทางสื่อออนไลน์เปิดกว้างมากกว่าสื่อหลักซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจและมีข้อจำกัดเรื่องการนำเสนอ แต่จากการทำงานที่ผ่านมา 1 ปี พบว่าเป็นเรื่องไม่ง่าย คนทำงานหายาก วันนี้จึงอยากให้สหมิตรที่มาร่วมงานช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์ได้เต็มที่ เพื่อการพัฒนาเว็บไซต์ TCIJ ต่อไป
ในช่วงของการแบ่งปันความคิดว่าด้วยเรื่องที่สุดในชีวิต มีผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการสื่อร่วมแบ่งปันหลายคน
สมบัติ บุญงามอนงค์ เล่าถึงที่สุดในชีวิตของตัวเองว่า เมื่อครั้งย้ายมูลนิธิกระจกเงาไปอยู่เชียงราย ได้พบปัญหาของคนไร้สัญชาติ จึงเริ่มแก้ปัญหาโดยควานหา “กุญแจ” 2 ดอก คือ 1. ความรู้ ซึ่งได้จากอาจารย์ธรรมศาสตร์ผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญเรื่องคนไร้สัญชาติ และ 2 การสื่อสาร เพื่อให้สังคมได้รับรู้และเข้าใจ โดยคิดหาวิธีพาเด็กๆชาวเขาร้อยกว่าคนเข้าทำเนียบในงานวันเด็กและได้ปฏิบัติการ “ยึดเวที” เพื่อเสนอปัญหา ปรากฏว่าขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ
ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บอกว่าเรื่องที่สุดในชีวิตตัวเองเกิดจากการทับถมมาจากอดีตในการเป็นนักข่าวหลายแห่ง การเป็น บก.ประชาไท ต้องฝ่าข้อจำกัด แรกๆต้องเฝ้าคอยหวังว่าจะมีคนเข้าชมเว็บไซต์ถึงวันละ 10 คนหรือไม่ จนวันนี้มียอดเข้าชมเฉลี่ย 2 หมื่นครั้งต่อวัน บอกได้ว่าความสำเร็จเกิดจากการถักทอจากหลายคน ไม่มีใครสามารถแยกออกจากคนอื่นได้
อารีวรรณ จตุทอง บอกว่าจากที่เป็นผู้หญิงทั่วๆไปคนหนึ่ง ก็มีโอกาสได้เรียนรู้ ได้สื่อสารกับคนอื่นๆมากขึ้นจนเกิดแรงบันดาลใจในการไปเรียนกฎหมายและได้นำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ชีวิตก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นด้วยพลังที่มีอยู่ภายใน จึงเชื่อมั่นในพลังของตัวเอง
คำ ผกา ได้ยกสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าเป็นที่สุดของวิวาทะทางการเมือง ทั้งของนักวิชาการ ที่ระมัดระวังการนำเสนอความคิดตัวเอง โดยไม่คำนึงว่าเป็นเรื่องถูกหรือผิด พระสงฆ์ที่มีภาพทางสังคมว่าก้าวหน้าทันสมัยแต่พูดเรื่องความเชื่อปาฏิหาริย์ นายทหารที่พูดเรื่องปรองดองว่าทุกคนต้องยอมรับให้ได้ นักการเมืองที่พลิกลิ้นในสภาได้เพียงชั่วข้ามวัน และแสดงภาพลักษณ์ที่ดูดี ซึ่งตรงข้ามกับพฤติกรรม
ส่วน ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา พิธีกรคนดัง ได้รับความสนใจอย่างมากเมื่อเล่าเรื่องที่ตัวเองนั่งเครื่องบินชั้นประหยัดไปอังกฤษ แล้วพบเหตุการณ์หญิงชรานอนหัวใจวายจมอยู่กับกองเลือด สุดท้ายก็เสียชีวิต ซึ่งกัปตันตัดสินใจหยุดไปต่อแล้วนำเครื่องลงที่อินเดียทันที ทำให้นึกถึงข่าวคนทิเบตเผาตัวประท้วงจีนรุกรานทิเบตแต่จีนก็ไม่หยุด และยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่มีคนตายแต่ก็ไม่มีใครหยุด ในเมืองไทยมีคนตายจากเหตุการณ์ทางการเมืองมากมาย แต่กัปตันกลับบอกกับผู้โดยสารชั้นประหยัดว่า คุยกับเจ้าของสายการบินแล้วไม่หยุดจะไปต่อ จึงอยากรู้ว่าเราจะมีภูมิปัญญาอะไรไหมที่สร้างกติกาให้มีการหยุดเมื่อมีคนตายมากมายในโลกจากเหตุการณ์ต่างๆ
ขณะที่ สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ฉาย Power Point เล่าเรื่องการขี่รถจักรยานแทนการใช้รถยนต์จำนวนมากๆ ที่ชี้ให้เห็นว่า คนที่เคยชินและยอมรับว่าเมืองก็ต้องมีความวุ่นวาย รถติด อากาศเสีย ต้องกล้าจินตนาการว่า เมืองก็สามารถมีสิ่งดีๆและน่าอยู่ได้ ส่วน ศุ บุญเลี้ยง ใช้วิธีเล่าเรื่องผ่านเพลง “อิ่มอุ่น” ให้หลายคนที่ชอบได้ฟังกัน
นักสื่อสารแรงงาน รายงาน