คสรท.ขนรายชื่อหมื่นกว่า เสนอร่างกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ฯ

คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.)ร่วมเครือข่ายแรงงานเดินขบวนนำรายชื่อผู้ใช้แรงงาน 12,567 ชื่อ เสนอร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. …. ฉบับบูรณาการแรงงาน ต่อประธานรัฐสภา

วันนี้ (วันพุธที่ 22 สิงหาคม 2555) เวลา 10.00 น. พวกเราในนามของคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย และคณะ อันประกอบด้วย สมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิคส์ ยานยนต์ และโลหะแห่งประเทศไทย (Team) , สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ,  สหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย,  สหพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิคส์แห่งประเทศไทย (TEEF) ,  สหพันธ์แรงงานปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์แห่งประเทศไทย , สหพันธ์แรงงานธนาคารและการเงินแห่งประเทศไทย,  สหพันธ์แรงงานธุรกิจโรงแรมและบริการภูเก็ต ,  กลุ่มผู้ใช้แรงงานสระบุรีและใกล้เคียง ,  กลุ่มพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ย่านเวลโกรว์ ,  กลุ่มสหภาพแรงงานอมตะ , กลุ่มสหภาพแรงงานพื้นที่แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ,  กลุ่มสหภาพแรงงานภาคตะวันออกพื้นที่บ่อวิน จังหวัดระยอง , กลุ่มสหภาพแรงงานอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ , กลุ่มผู้ใช้แรงงานอยุธยาและใกล้เคียง ,  กลุ่มสหภาพแรงงานปราจีนบุรี , กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง , สหภาพแรงงานอาหารและการบริการแห่งประเทศไทย และศูนย์ประสานงานเครือข่ายแรงงานนอกระบบกรุงเทพฯ ได้มารวมตัวกัน ณ ที่รัฐสภาแห่งนี้ เพื่อนำรายชื่อจำนวน 12,567 รายชื่อ ในฐานะผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ฉบับบูรณาการแรงงาน เสนอต่อประธานรัฐสภา นำโดยนายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย พร้อมคณะ

นายชาลี ลอยสูง กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของการนำเสนอร่างกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ฉบับใหม่นี้ คือ การก้าวข้ามอุปสรรคที่ขวางกั้นการใช้สิทธิของคนงาน โดยเปิดโอกาสให้มีการรวมตัวอย่างกว้างขวางของแรงงานทุกกลุ่ม พี่น้องแรงงานมีโอกาสได้รับการปกป้องคุ้มครองเสรีภาพในการสมาคมและการเจรจาต่อรอง อันจะเป็นปัจจัยพื้นฐานสู่การเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งยังเป็นปัจจัยเสริมหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในกระแสที่ประชาคมโลกยอมรับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนและสิทธิด้านแรงงาน ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับการแข่งขันทางธุรกิจที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  คุณภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ที่ผ่านมาความยากจนของพี่น้องแรงงานถูกสร้างและกำหนดจากนโยบายรัฐที่เลือกปฏิบัติและโครงสร้างสังคมที่อยุติธรรม เอารัดเอาเปรียบ วันนี้แรงงานจำนวนมากยังมีรายได้ต่ำ ไร้สิทธิ ไร้โอกาส ไร้อำนาจ และไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกวัน

ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จักต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างและระบบแรงงานด้วยการสร้างความคุ้มครองทางสังคมและความมั่นคงของแรงงาน ทั้งในด้านของการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่ม การเจรจาต่อรอง และการยึดหลักการทำงานที่มีคุณค่า (decent work) เหล่านี้คือหลักการสำคัญในการสร้างให้เกิดความเป็นธรรมต่อพี่น้องแรงงานขึ้นในสังคมไทยได้จริง

อย่างไรก็ตามกระบวนการที่ฝากความหวังไว้กับการเปลี่ยนแปลงโดยรัฐเพียงฝ่ายเดียวก็ดูจะเป็นเพียงเรื่องการร้องขอ มากกว่าการกำหนดอนาคตชีวิตผู้ใช้แรงงานด้วยตนเอง ดังนั้นคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย รวมถึงองค์กรสมาชิก 18 องค์กร จึงได้ร่วมกันยกร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ฉบับบูรณาการแรงงาน ขึ้นมา เพื่อการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายต่อรัฐสภาตามขั้นตอนกระบวนการทางนิติบัญญัติ 

ทั้งนี้ร่างกฎหมายฉบับนี้มีประเด็นสำคัญ ดังนี้

1.  มีเนื้อหาที่สอดคล้องกับหลักการอนุสัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 และ 98 เพื่อสร้างหลักประกันในสิทธิเสรีภาพในการรวมตัวและเจรจาต่อรอง

2.  สอดคล้องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 64 ว่าด้วย “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชน องค์การพัฒนาเอกชน หรือหมู่คณะอื่น…”

3.  ครอบคลุมแรงงานทุกภาคส่วน ทั้งแรงงานในระบบอุตสาหกรรม แรงงานรัฐวิสาหกิจ แรงงานนอกระบบ แรงงานภาคเกษตร แรงงานข้ามชาติ

4.  คนทำงานไม่ว่าอาชีพใดหรือประกอบกิจการใด มีสิทธิและเสรีภาพอย่างเต็มที่ในการรวมตัวเพื่อจัดตั้งหรือเข้าเป็นสมาชิกองค์กร ลักษณะหรือรูปแบบใดก็ได้ ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างเต็มที่จะละเมิดมิได้

5.  จำกัดบทบาทมิให้รัฐเข้ามาแทรกแซง ควบคุม กำหนดกฎเกณฑ์อันเป็นอุปสรรคต่อการรวมตัวเพื่อจัดตั้งหรือเข้าเป็นสมาชิกองค์กรของคนทำงาน

6.  ผู้จ้างงานต้องส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการจัดตั้งองค์การคนทำงาน หรืองดเว้นการกระทำใดๆ ที่เป็นการขัดขวางให้เกิดการรวมตัวของคนทำงาน

7.  เปลี่ยนนิยามและคำจำกัดความ “นายจ้าง” และ “ลูกจ้าง” เป็น “ผู้จ้างงาน” และ“คนทำงาน”ที่ครอบคลุมการจ้างงานทุกประเภทไม่ว่าอยู่ภายใต้สัญญาจ้างใดๆ

8.  เปลี่ยนกรอบคิดแรงงานสัมพันธ์จากเดิมที่เป็นแบบ“นายกับบ่าว” ที่ให้อำนาจแก่ฝ่าย “นายจ้าง”ให้มีเหนือ “ลูกจ้าง”ไปสู่ “หุ้นส่วนสังคมและเศรษฐกิจ” (Social partnership) ที่มองว่า “ผู้จ้างงาน” กับ “คนทำงาน” เป็น “หุ้นส่วน” กัน มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน การตัดสินใจที่จะมีผลกระทบกับทั้งสองฝ่ายในการทำงานร่วมกันจึงต้องใช้หลักการตัดสินใจร่วมกัน บนพื้นฐานของความเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นธรรม

9.  ส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมและการตัดสินใจร่วมกันอย่างแท้จริงระหว่างผู้จ้างงานและคนทำงาน โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการการมีส่วนร่วมในสถานประกอบการ  และคณะกรรมการคนทำงานในสถานประกอบกิจการ

10.  การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและการเปิดเผยข้อมูลการประกอบการ การจ้างงาน อย่างโปร่งใส โดยผู้จ้างงานมีหน้าที่แสดงข้อมูลแก่คณะกรรมการคนทำงานเมื่อมีการร้องขอ เพื่อเป็นประโยชน์ในการทำหน้าที่ของคณะกรรมการคนทำงาน

11.  ส่งเสริมการจ้างงานตามหลักการ “งานที่มีคุณค่า (Decent Work)” ที่เคารพในสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน อันได้แก่ การไม่บังคับใช้แรงงาน การคุ้มครองแรงงานเด็ก เสรีภาพในการรวมตัวและการเจรจาต่อรองร่วม และการไม่เลือกปฏิบัติ การพัฒนาศักยภาพในการทำงาน การมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการจ้างงานหรือการทำงาน และการคุ้มครองทางสังคม

12.  กำหนดให้รัฐต้องสนับสนุนส่งเสริมและพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ การรวมตัวและการบริหารจัดการองค์การคนทำงานให้มีความมั่นคง ยั่งยืน และอย่างเท่าเทียม ทั้งการจัดตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆขึ้นมา คือคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาแรงงานสัมพันธ์  คณะกรรมการการมีส่วนร่วมในสถานประกอบกิจการ และคณะกรรมการคนทำงานในสถานประกอบกิจการ  

13.  การดำเนินงานที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆ การปิดกิจการชั่วคราว การย้ายฐานการผลิต การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ การยุบแผนก การควบรวม การจ้างเหมาทุกลักษณะงาน จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการคนทำงาน

14.  การแจ้งข้อเรียกร้อง คนทำงานที่เป็นลูกจ้างของผู้รับเหมาค่าแรง มีสิทธิแจ้งข้อเรียกร้องต่อผู้จ้างงาน หรือเข้าร่วมกับคนทำงานซึ่งเป็นลูกจ้างโดยตรงของผู้จ้างงาน

15.  ในการเจรจาข้อเรียกร้อง ผู้จ้างงาน คนทำงาน สามารถเพิ่มผู้แทนและที่ปรึกษาในการเจรจาต่อรองร่วมได้เพื่อประโยชน์ในการเจรจาข้อเรียกร้อง  

16.  คนทำงานในทุกกิจการมีสิทธินัดหยุดงานได้ ในกรณีที่มีการนัดหยุดงานหรือปิดงาน คนทำงานมีสิทธิชุมนุมในเขตพื้นที่สถานประกอบกิจการ สาธารณูปโภคและสวัสดิการอื่นที่ผู้จ้างงานจัดให้ก่อนนัดหยุดงานหรือปิดงาน

17.  เมื่อมีการปิดงานหรือนัดหยุดงาน ผู้จ้างงานไม่สามารถนำแรงงานเข้ามาทำงานในกระบวนการผลิต แทนคนทำงานเดิมระหว่างการใช้สิทธินัดหยุดงานหรือปิดงานได้  เพื่อส่งเสริมให้เกิดแรงงานสัมพันธ์อันดีและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกัน

18.  คุ้มครองสิทธิในการเจรจาต่อรอง เมื่อองค์การคนทำงานปฏิบัติการเพื่อประโยชน์ของสมาชิกหรือสาธารณะ ต้องไม่ถูกกล่าวหาหรือฟ้องร้องทางอาญาหรือแพ่ง

เมื่อการเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงานจำนวนมหาศาลยังถูกกดขี่ ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบจากรัฐและทุน การขึ้นค่าจ้างหรือการเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจึงไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูปของการแก้ไขปัญหาดังกล่าว การเปิดโอกาสให้แรงงานได้รวมตัว-เจรจา-ต่อรอง อย่างเสมอภาค เพื่อนำไปสู่การปรับสัมพันธภาพทางอำนาจระหว่างผู้ได้เปรียบกับเสียเปรียบ จะนำไปสู่เงื่อนไขของการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง

นายวิสุทธิ์ ​ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ในสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 24 กล่าวว่า เป็นช่วงของประชาธิปไตย และการมีส่วนของประชาชนในการนำเสนอกฎหมายของตนเองได้ โดยผ่านการลงลายมือชื่อเสนอกฎหมายตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีภาตประชาชนเสนอร่างกฎหมายมาหลายฉบับเป็นการยืนยันระบบประชาธิปไตยในประเทศ และการที่ผู้ใช้แรงงานได้ช่วยกันร่างกฎหมาย และมีการร่วมกันล่าลายมือชื่อเพื่อเสนอร่างกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. …. (ฉบับขบวนการแรงงาน) ทางสภาจะเร่งตรวจสอบรายชื่อให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน แล้ะวจะแจ้งให้ผู้ที่ลงลายมือชื่อทราบเพื่อการตรวจสอบ การที่มีการเสนอรายชื่อมาถึง 12,500 กว่าคน มีการเผื่อเสียไว้ถึง 2,000 ชื่อ คิดว่าร่างกฎหมายนี้น่าจะไม่มีปัญหาอย่างไรรายชื่อที่เสนอคงครบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ทางรัฐสภาก็จะทำหน้าที่ในการเสนอให้สภามีการพิจารณาตามขั้นตอน ให้เตรียมการตัวแทนที่จะเข้ามาเป็นกรรมาธิการร่างกฎหมายฉบับนี้เพื่อให้มีความพร้อมในการเข้ามาทำงานร่วมกัน

นางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงานไทย กล่าวว่า ร่างกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ฉบับนี้ เป็นความต้องการของผู้ใช้แรงงานที่มีความตั้งใจในการลงลายมือชื่อร่วมกันทั่วประเทศ ถือเป็นความหวังในการที่จะมีสิทธิในการรวมตัว และเจรจาต่อรองมากขึ้น ประสบการณ์ของแรงงานกับภาคประชาชนในการเสนอร่างกฎหมายหลายฉบับที่ยังไม่ถูกสภานำเข้าสู่การพิจารณารวมทั้งร่างกฎหมายประกันสังคมที่มีการล่าลายมือชื่อผู้ใช้แรงงานและภาคประชาชนถึง 14,264 คน ถึงวันนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวยังถูกดองไม่มีการนำขึ้นมาพิจารณาในประชุมสภาผู้แทนราษฏร ฉะนั้นจากวันนี้อีก 3 เดือน ซึ่งยังไม่แน่ใจว่า การตรวจรายชื่อที่จะแล้วเสร็จนั้นจะทันการในประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญทั่วไป ตอนนี้หรือไม่ ก็ต้องวัดความจริงใจของรัฐบาล และต้องทวงถามร่างกฎหมายประกันสังคมที่ดองว่าจะนำขึ้นมาพิจารณาได้หรือยัง ครั้งนี้เป็นการวัดใจรัฐบาล เพราะร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ถือเป็นหัวใจของผู้ใช้แรงงาน

นางสาวธนพร วิจันทร์ เลขาธิการกลุ่มผู้ใช้แรงงานสระบุรีและใกล้เคียง กล่าวว่า รายชื่อที่นำมายื่นต่อสภาเป็นการรวบรวมลายมือชื่อของผู้ใช้แรงงานทั้งประเทศที่แสดงความต้องการเปลี่ยนกฎหมายแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 เพื่อให้เกิดความคุ้มครองสิทธิของแรงงานทุกกลุ่มให้อำนาจการต่อรองและเสรีภาพในการรวมตัว

นายยงยุทธ เม่นตะเภา เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิคส์ ยานยนต์ และโลหะแห่งประเทศไทยกล่าวว่า การมาเดินรณรงค์ของผู้ใช้แรงงานครั้งนี้มาเพียงส่วนของผู้นำแรงงานในแต่กลุ่มสหภาพในย่านอุตสาหกรรม เครื่อข่ายแรงงานนอกระบบ แรงงานข้ามชาติ การมารวมกันเพื่อยื่นรายชื่อเสนอร่างกฎหมายร่วมกัน ฉะนั้นจึงอยากบอกว่านี้คือความต้องการของแรงงานทุกกลุ่ม และเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศที่พร้อมในการที่จะเรียกร้องสิทธิ ร่างกฎหมายฉบับนี้จะทำให้แรงงานมีการรวมกลุ่มเพื่อการเข้าถึงสิทธิ และสวัสดิการ รวมถึงการปกป้องสิทธิด้วยการรวมตัวและสร้างความเข้มแข็งโดยใช้ระบบแรงงานสัมพันธ์ได้จริง จึงอยากเห็นกฎหมายที่ออกมาจากการเขียน และเสนอโดยของผู้ใช้แรงงานเอง

หมายเหตุ: ดูร่างพ.ร.บ.ได้ที่นี่  (ร่างพ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ บันทึกหลักการและเหตุผล ฉบับสมบูรณ์ สรุป สาระสำคัญพ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ ฉบับบูรณาการแรงงาน)

นักสื่อสารแรงงาน รายงาน