จะให้คนแม่เมาะต้องตกเป็นเหยื่อต้องตกนรกตลอดชาติอยู่อย่างนี้หรือ?

สมบุญ สีคำดอกแค 11 มกราคม2555

มีโอกาสไปสังเกตการณ์  เวทีประชาพิจารณ์ เมื่อวันที่  7 มกราคม 2555 ที่ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.)ได้จัดเวทีประชาพิจารณ์ โดยเรียกประชุมแกนนำ ของ กฟผ.  ประชาสัมพันธ์ผ่านวิทยุตามสาย ให้ชาวบ้านถ่ายบัตรประชาชนเซ็นต์สำเนาถูกต้องคนละหนึ่งใบ เข้าร่วมทำประชาพิจารณ์ กรอกข้อความ ชาวบ้านเองก็คงจะยากในการกรอกข้อความเพราะแค่เขียนหนังสือก็ยังเขียนไม่ได้ เสียงร้องและเสียงพูดถึงความเจ็บป่วยผลกระทบที่เกิดขึ้นในเวที ฝ่ายกฟฝ.ให้ข้อมูลด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมดี มีเครื่องจับฝุ่นอย่างดี จัดงานลานเที่ยวชมทุ่งดอกบัวตอง โดยการทุ่มเงินประชาสัมพันธ์ออกทั่วแบบกระหน่ำ

การมาเข้าสู่เวทีประชาพิจารณ์ของชาวบ้านแม่เมาะ มาด้วยความเหนื่อยหอบ อ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรงเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ซึ่งผลเป็นอย่างไรนั้นไม่ต้องสรุปก็คงจะรู้ว่า กฟผ.เป็นฝ่ายชนะและจะมีการจัดเวทีแบบนี้อีกสองครั้ง บางคนกลัวมากๆเพราะวิถีชีวิตวัฒนธรรมที่อ่อนโยนของคนชุมชนแม่เมาะ จังหวัดลำปาง การต่อสู้จึงเป็นอะไรที่น่าหวาดกลัว หรือด้วยความไม่รู้จึงไม่เข้าร่วมในเวทีนี้ด้วย แม้ไม่เห็นด้วยกับการขยายพื้นที่สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินลิกไนท์ เพราะคิดว่า ถ้าสร้างเพิ่มก็จะยิ่งขยายปัญหาสุขภาพและความขัดแย้งมากขึ้น

เสียงของผู้ตกเป็นเหยื่อเลยยิ่งแผ่วเบา แล้วก็ค่อยๆหมดลมหายใจไปวันละคนสองคนถูกปลิดชีวิตไปเรื่อยๆ ทุกวันด้วยโรคมะเร็งร้าย หรือปอดอักเสบอย่างรุนแรง  การต่อสู้เรียกร้องสิทธิผ่านทั้งกระบวนการยุติธรรมไปยังศาลปกครองพิพากษา เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2552 ที่กฟผ.ก็ยังอุทธรณ์อยู่ ยังไม่มีใครได้รับการเยียวยาอย่างจริงจัง  นับจากวันฟ้อง ปี 2545 –ปัจจุบันก็เข้า 10 ปี  การเรียกร้องผ่านเวทีสมัชชาคนจน เพื่อเข้าถึงการเยียวยารักษา มีชาวแม่เมาะ จากหมู่บ้าน ปางป๋วย บ้านสมป๊าด บ้านนาสัก บ้านสบจาง  บ้านแม่หลวง  และบ้านใหม่รัตนโกสินทร์ ราว 300 คน ที่ต้องการอพยพออกจากพื้นที่

ต้องการเข้าถึงการักษาเยียวยาที่ดี เพราะทุกคนคนป่วยเจ็บเรื้อรัง ไม่มีเรี่ยวแรงหายใจรวยริน ที่จะออกไปพบแพทย์เพราะต้องนอนใช้ถังออกซิเจนช่วยหายใจการออกไปเติมออกซิเจน ที่โรงพยาบาลศูนย์แม่เมาะต้องเสียค่าเดินทางโดยเหมารถคันละ 500 บาทระยะทางไปกลับ 100 กก.ยายน้อยลูกสาวเล่าว่า แกต้องใช้ออกซิเจนวันละหนึ่งถัง  ซึ่งลำบากมากรายได้ที่ค้าขายเล็กๆน้อยๆอยู่กับบาทก็ไปลงถังอ๊อกซิเจนจนหมด  บางรายก็ใช้สัปดาห์ละหนึ่งถังอย่างลุงคำใส  แกต้องประหยัดให้ออกซิเจน คือ ใช้เพียงวันละ 3 ชั่วโมงเพราะประหยัดค่าใช้จ่ายและลำบากมากต่อการต้องจ้างเหมารถไปเติมซึ่งตัวลุงกับป้าก็อยู่กันแค่สองคน รวมทั้งลุงเชิดก็ตกอยู่

ในสภาพไม่แตกต่างกัน ถามถึงเรื่องนโยบายก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มคนป่วยผู้ถูกผลกระทบทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ขณะปัจจุบันนี้การแก้ไขปัญหาก็ยังแก้ไม่ถูกจุด เครื่องดักฝุ่นต่างๆมันก็นานนมแล้วถ้าดักฝุ่นดีทำไมพวกเขาถึงมาล้มป่วยแล้วใช้ ถังออกซิเจนในปี 2554 นี้เรื่อยมาบางคนก็ล้มมาสองสามปีแล้ว บางคนมีอาการทางสมองปากเบี้ยวพูดลำบาก เป็นอยู่ปีสองปีก็เสียชีวิต ล่าสุดรายป้าจันทร์หอมภรรยาลุงอิน อินติ๊บ ลุงลวด ไชยานนท์ และคนอื่นๆกว่าสามสี่ร้อยคนแล้วที่ต้องเสียชีวิตสละความสุขส่วนตัวความแข็งแรงสมบูรณ์ให้กับโรงไฟฟ้าที่แผ่ความเจริญไปยังภาคเหนือ ภาคกลางภาคอีสาน สำหรับชาวบ้านแม่เมาะต้องสูญเสียอนาคตอยู่อย่างท้อแท้รอความตาย เสียงแหบแห้งของผู้ป่วย 3-4คนนี้บอกว่าไม่ขออะไรมากตอนนี้ขอเพียงถังอ๊อกซิเจนเต็มอยู่ตลอดเวลาได้ไหมแล้วมีใครที่เอามาให้ถึงบ้านไม่ต้องเสียเงินทองมากมายขนาดนี้เพื่อหวังยื้อชีวิตไว้ต่อไปและจะได้ๆไม่หายใจไม่ลำบาก

จากการที่กลุ่มผู้ป่วยแม่เมาะในสมัชชาคนจนได้ไปแสดงเจตนาขอคัดค้านการสร้างโรงงานไฟฟ้า  โดยขอความเป็นธรรมให้เยียวยาผู้ถูกผลกระทบเสียก่อน เพราะการไฟฟ้ามีงบประมาณปีละ สี่ร้อยกว่าล้านเพื่อมาฟื้นฟูชุมชนที่ถูกผลกระทบรอบบริเวณโรงไฟฟ้า กรณีนี้กลุ่มผู้ป่วยแม่เมาะในสมัชชาคนจน ยื่นเสนอโครงการฟื้นฟูสุขภาพ และฟื้นฟูอาชีพ เลี้ยงโค กระบือ ยื่นมา 2  ปีกว่าแล้วไม่ได้รับการพิจารณาเลย แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าดูแลแก้ไขปัญหาเก่าไปหมดแล้วได้อย่างไร

ทางนายอำเภอและรองผู้ว่าก็ได้พูดกับชาวบ้านว่าเอามาวันจันทร์นะนายอำเภอจะรอรับแต่พอวันจันทร์กลับไม่อยู่ชาวบ้านผิดหวังในคำพูดของผู้หลักผู้ใหญ่มากๆ  คุณสนธยา อินเขียวสายมีบุตรอยู่ 2 คนมีอาชีพ

ขายของที่โรงเรียนเธอและลูกๆคนในครอบครัวไอเป็นหวัดเรื้อรังหายใจไม่สะดวก คุณปราณี อินปัญโญเธอเอาพืชผักที่ปลูกแล้วใบฝ่อไม่ได้ผลผลิตขายไม่ได้มิหนำซ้ำยังปวดหัวเป็นหวัดกันทั้งครอบครัวเธอพูด

 

อย่างท้อแท้ว่าสถานการณ์ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลยในชีวิตมีแต่ความทุกข์ยากเศร้าหมอกลุ้มๆๆหาทางออกไม่ได้เลยหารถไปหาหมอก็ไม่ได้  เงินรายได้ก็ไม่มี  เธออยากให้ยุตินโยบายสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มแล้วให้ กฟผ.มาดูแลผู้ถูกผลกระทบอย่างจริงจังก่อนได้ไหม

ดิฉันได้ลงพื้นที่ไปรู้เห็นแล้วก็รู้สึกเศร้าสลดนอนไม่หลับ  รู้สึกว่าทำไมคนงานหรือคนจนคนในชุมชนต้องตกเป็นเหยื่ออยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่เราก็เป็นมนุษย์เช่นกัน ถ้าความเจริญแล้วมันทำให้คนจนๆต้องจนลงไปอีกทุกข์ยากลงไปอีกดิฉันว่าเราหยุดพักความเจริญก่อนได้ไหม ?  เพราะความเจริญนั้นได้ขุดรีดคนจนคนในชุมชนให้เขาต้องตกเป็นเหยื่ออยู่ตลอดเวลาอย่างนี้  จะเรียกว่าความเจริญได้อย่างไร ??

สมบุญ สีคำดอกแครายงาน สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 081-813-28-98 อีเมล wept_somboon@hotmail.com.เวฟไซด์ www.//wept.org