เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 เครือข่ายแรงงานเพื่อการปฏิรูปค่าจ้างที่เป็นธรรม ประกอบด้วย สภาองค์การลูกจ้าง สหพันธ์แรงงาน สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ซึ่งมีสมาชิกมาจากกลุ่มสหภาพแรงงานย่านอุตสาหกรรมต่างๆ เกือบ 1 พันคน ร่วมเดินรณรงค์เรียกร้องค่าจ้างขั้นต่ำจากบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าไปที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันตามที่พรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้ และคัดค้านมติคณะรัฐมนตรี 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 ที่ให้คงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไปจนถึงปี พ.ศ.2558 ทั้งขอให้ยกเลิกระบบอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่แตกต่างกันของจังหวัดต่างๆ และขอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการกำหนดค่าจ้างที่ประกอบด้วยผู้แทนจากภาครัฐ ฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และนักวิชาการ เพื่อให้เกิดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรมอันนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว และสำหรับลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตอุทกภัย ทั้งการถูกเลิกจ้าง การขาดรายได้ หรือถูกละเมิดสิทธิแรงงาน ก็ขอให้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือลูกจ้างเหล่านี้เป็นพิเศษ
ทั้งนี้ ก่อนเริ่มการเดินรณรงค์ ได้มีการจัดเวทีเสวนาวิชาการเรื่อง “รัฐบาลพรรคเพื่อไทย กับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ” โดยนักวิชาการและแกนนำแรงงานต่างๆ
นายศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา นักวิชาการแรงงานอิสระกล่าวว่า ตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อปี 2516 ก็สอดคล้องกับหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ที่กำหนดให้ค่าจ้างที่เป็นธรรมต้องเพียงพอสำหรับเลี้ยงดูครอบครัว แต่ต่อมาถูกเปลี่ยนไปจากหลักที่ต้องคุ้มครองแรงงานกลายเป็นเครื่องมือกดค่าจ้างเพื่อแข่งขันในการผลิตสินค้าส่งออก หลายประเทศใช้นโยบายค่าจ้างสูงทำให้พึ่งพาเศรษฐกิจภายในได้ เห็นว่านโยบาย 300 บาททั่วประเทศเป็นนโยบายเด่นที่สุดมีประโยชน์ต่อประเทศชาติควรต้องรีบทำ
นางสุนี ไชยรส รองประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่า ลูกจ้างต่างๆถูกตีราคาความเป็นคนต่างกัน ทิศทางของรัฐจึงเอาทุนเป็นตัวตั้ง หลังเกิดวิกฤตน้ำท่วมจึงมีการอุดหนุนในส่วนอุตสาหกรรมมาก แต่ไม่มีมาตรการพิเศษเพื่อช่วยลูกจ้างที่โดนผลกระทบหนักกว่าทั้งถูกลดค่าจ้าง ถูกเลิกจ้าง พ.ร.ก.กู้เงินจะทำให้รัฐบาลมีเงินมากพอที่จะจัดการปัญหาหากมองว่าคนมีศักดิ์ศรีเท่ากันเดือดร้อนเท่ากัน นอกจากนี้ยังมีนายจ้างที่ฉวยโอกาสซึ่งรัฐบาลต้องมีการตั้งคณะกรรมการจากหลายฝ่ายเพื่อตรวจสอบและช่วยรายที่เดือดร้อนจริงๆ และมองว่ากฎหมายก็เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความไม่เสมอภาค อนาคตจึงควรต้องมีการประมวลกฎหมายแรงงานต่างๆเป็นฉบับเดียวเพื่อไม่ให้เกิดความลักลั่น
นายบุญมา ป๋งมา ตัวแทนจากสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กล่าวว่า รัฐบาลหาเสียงไว้ว่าจะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท 1 มกราคม 2555 แต่ส่วนของรัฐวิสาหกิจนั้นได้ปรับขึ้นไปแล้วตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2554 จึงอยากสนับสนุนลูกจ้างภาคเอกชนให้ไปบอกนายกฯว่าเดือดร้อนจริงๆ ส่วนที่ฝ่ายนายจ้างจะมีการฟ้องศาลปกครองเพื่อระงับการขึ้นค่าจ้างนั้น ถือว่าเป็นการเห็นแก่ตัวเพราะนายจ้างก็ได้ประโยชน์จากการลดภาษีแล้วแต่คนงานยังไม่ได้รับการเยียวยา ไม่อยากให้กระทรวงแรงงานกลายเป็นกระทรวงของนายทุน เพราะพอมีข่าวว่าจะถูกนายทุนฟ้องก็เงียบเสียงทันที
นางสุจิน รุ่งสว่าง ตัวแทนแรงงานนอกระบบ กล่าวว่า ลูกจบปริญญาตรี ทำงานเอกชนได้แค่ 7 พันกว่าบาท ไม่พอค่ารถ ค่ากิน ในส่วนของผู้รับงานไปทำที่บ้านแม้จะมี พ.ร.บ.ผู้รับงานฯแต่ก็คุ้มครองไม่ได้ คนเย็บผ้าที่บ้านยังได้ไม่เท่าค่าจ้างขั้นต่ำ ถูกกดค่าแรง กระทรวงแรงงานก็บอกหานายจ้างไม่ได้ ไม่รู้จะไปบังคับใคร ส่วนคนค้าขายอิสระก็ได้รับผลกระทบเมื่อคนงานส่วนใหญ่มีค่าต่ำก็ไม่มีแรงซื้อ เห็นว่าค่าแรงต้แงเป็นมาตรฐานเดียวกัน
นายนวพล อินทร์สุวรรณ นักศึกษากฎหมายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ปัญหาอยู่ที่นโยบายภาครัฐ นักการเมืองหาเสียงแต่ทำให้เกิดนโยบายไม่ได้ ประชาธิไตยของไทยคงจะยังไปไม่ถึงไหนถ้าคนส่วนใหญ่ยังไม่พอกิน เกิดการซื้อเสียงก็เพราะทำให้มีเงินซื้อข้าวกิน กลุ่มที่มีเงินก็จะได้อำนาจการปกครอง ที่ผ่านมาหวังว่าจะได้รัฐบาลที่เข้ามาปัญหาความเหลื่อมล้ำให้คนจน แต่ก็ต้องกลับมาตั้งคำถาม
นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า เมื่อตอนหาเสียง ตัวแทนพรรคเพื่อไทยได้มาลงนามในบันทึกความเข้าใจว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ จบปริญญาตรีจะได้เงินเดือน 15,000 บาท แต่เมื่อหาเสียงแล้วกลับทำไม่ได้ก็ควรต้องพิจารณาต้องออกมาขอโทษ ที่มาทำเนียบวันนี้ก็เพื่อยื่นหนังสือกับนายกฯให้มีการทบทวนประกาศขึ้น 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศในวันที่ 1 เมษายนนี้
สำหรับการชุมนุมของผู้ใช้แรงงานที่หน้าทำเนียบรัฐบาลนั้น ภายหลังการเข้าพบนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้เป็นผู้แทนมารับหนังสือและร่วมเจรจา แกนนำแรงงานได้ชี้แจงต่อที่ชุมนุมว่า รัฐมนตรีแรงงานฯได้ชี้แจงว่าการปรับค่าจ้าง 300 บาททั่วประเทศตามนโยบายหาเสียงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเพราะต้องคุยกับหลายฝ่าย แต่ยืนยันว่า 1 เมษายนนี้ปรับขึ้น 300 บาทก่อน 7 จังหวัด และจะปรับ 300 บาทเท่ากันทุกจังหวัดในในวันที่ 1 มกราคม 2556 แน่นอนเพราะแถลงนโยบายไว้ว่าจะทำภายใน 1 ปี ส่วนการที่ฝ่ายอุตสาหกรรมจะฟ้องศาลปกครองนั้นก็อยากดูว่านายจ้างคนใดจะฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ขบวนการแรงงานจะต้องติดตามผลักดันต่อไป รวมทั้งต้องคัดค้านการไม่ปรับขึ้นค่าจ้างในปี 2557-2558 ด้วย