สื่อมวลชนร่วมเสวนานักสื่อสารแรงงาน ถกแนวทางการทำงานระหว่างแรงงานกับสื่อมวลชนเพื่อยกประเด็นแรงงานสู่สาธารณะ หวังลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มคุณภาพชีวิตแรงงาน โดยเห็นว่าปัจจุบันมีช่องทางมากขึ้นจากสื่อทางเลือกและสื่อเฉพาะต่างๆ เช่น วิทยุชุมชน หรือสื่อใหม่อย่าง อินเตอร์เน็ทและสื่อออนไลน์ต่างๆ แต่เห็นว่ายังไม่ควรทิ้งสื่อกระแสหลักทั้งหนังสือพิมพ์และทีวีที่ยังมีพลังเปลี่ยนแปลงสังคมอยู่อย่างน้อยอีก 10 ปี แต่แรงงานต้องมีวินัย มีความเป็นมืออาชีพในการสร้างข่าวและช่องทางของตัวเองตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป โดยต้องข้ามให้พ้นความซ้ำซากทั้งในด้านการนำเสนอประเด็นเนื้อหาและตัวบุคคลเป็นข่าว
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2553 ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ โครงการการพัฒนาสื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนขบวนการแรงงาน มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ร่วมกับ แผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน สสส. จัดงานเสวนาเรื่อง “พลังสื่อ กับ การเพิ่มคุณภาพชีวิตแรงงาน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม” มีสื่อมวลชนจากต่างแขนง 4 คนร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ถ่ายทอดความรู้กับนักสื่อสารแรงงานและผู้นำแรงงานทั้งในและนอกระบบจำนวนกว่า 50 คน
นายทวีป กาญจนวงศ์ ประธานมูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงานว่า ทุกวันนี้สื่อมีความสำคัญและมีรูปแบบต่างๆมากมาย พื้นที่ข่าวสามารถชี้ขาดชัยชนะได้ ในส่วนของแรงงานต้องทำงานสื่อสารกับทั้งสมาชิกและสังคม ทั้งในรูปแบบของเอกสารต่างๆและการสัมภาษณ์พูดคุย ซึ่งมีส่วนอย่างสำคัญในการสร้างความเข้าใจ ความร่วมมือ และความเข้มแข็งของขบวนการแรงงาน การใช้สื่อและการเข้าถึงสื่อจึงเป็นเรื่องสำคัญ จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เรียนรู้จากสื่อมวลชนอาชีพโดยตรง
นางสาวมัทนา โกสุมภ์ ผู้ช่วยผู้จัดการแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน สสส. กล่าวเปิดงานว่า
การสื่อสารมีพลังมากในการสร้างการเปลี่ยนแปลง แต่การสื่อสารไม่ใช่เรื่องง่าย แม้มีข้อมูลแล้วก็ยังอาจสื่อสารไม่ได้ และเห็นว่าทุกวันนี้แรงงานมีช่องทางเลือกในการสื่อสารมากขึ้น ตัวอย่างจากนักสื่อสารแรงงานกลุ่มอยุธยาที่ฝึกแล้วสามารถเขียนข่าวขึ้นเว็บไซต์ voicelabour ได้ทันที ซึ่งวันนี้ก็จะได้พูดคุยกันว่าจะทำงานกับสื่ออย่างไรให้สื่อสนใจประเด็นแรงงาน และนำไปเป็นข่าวสื่อสารต่อสังคม
นายศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา นักวิชาการแรงงาน กล่าวเริ่มดำเนินรายการว่า
ประเด็นความเหลื่อมล้ำถูกหยิบยกมาพูดคุยกันหลายเวทีในปัจจุบัน แต่เรื่องราวของแรงงาน 37-38 ล้านคนไม่ค่อยปรากฎในสื่อให้คนทั่วไปได้รับรู้ ต่างกับเรื่องคนไม่กี่คนในแวดวงบันเทิง ตั้งคำถามว่า ทำไมประเด็นแรงงานไม่ค่อยมีในสื่อ? ทำอย่างไรพื้นที่สื่อจะเปิดมากขึ้น? ดังนั้น การสร้างความเข้าใจระหว่างสื่อกับแรงงานจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน
นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บรรณาธิการเว็บไซต์ประชาไท กล่าวถึงสื่อกระแสหลักกับสื่อทางเลือกว่าไม่มีเส้นแบ่งชัดเจน ยุคหนึ่งหนังสือพิมพ์เคยเป็นสื่อทางเลือก แต่เมื่อคนอ่านมากขึ้นก็ชี้นำสังคมได้ กลายเป็นสื่อกระแสหลัก ซึ่งวัดจากจำนวนคนอ่านมากกว่าจะเป็นเรื่องรายได้หรือจุดประสงค์ของกิจการ สื่อกระแสหลักจะเล่นข่าวใหญ่เรียกเร็ทติ้ง ส่วนสื่อทางเลือกจะเน้นจุดประสงค์ขององค์กรมากกว่า เช่น ประชาไทจะเสนอข่าวที่ไม่เป็นข่าว แต่มีความสำคัญ จึงทำข่าวแรงงานที่ไม่ค่อยมีคนอ่าน โดยเห็นว่าเกิดจากปัญหา 2 ส่วน
1. ด้านเทคนิค คือประเด็นซ้ำซาก เช่นทุกข์ยาก เดินขบวนเรียกร้อง ซึ่งต้องอาศัยฝีมือประสบการณ์ของนักข่าวที่ต้องเจาะหาแง่มุมอื่นมาปั้นประเด็นนำเสนอ
2. ด้านโครงสร้างคือ หนังสือพิมพ์เดินเข้าสู่ธุรกิจ โฆษณาเป็นสิ่งสำคัญมากกว่ายอดพิมพ์ที่ยิ่งมากยิ่งขาดทุน โฆษณาและสื่อคือทุนซึ่งกดขี่แรงงาน จึงไม่มีข่าวแรงงาน
ทั้งนี้นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา สื่อกระแสหลักถูกท้าทายจากสื่อทางเลือก เช่นวิทยุชุมชนที่เกิดขึ้นมากมาย และอินเตอร์เน็ท พฤติกรรมของการบริโภคสื่อเปลี่ยนไป คนเบื่อสื่อกระแสหลักหันไปหาสื่อเฉพาะ แต่ก็ยังไม่มีบทบาทชี้นำสังคมได้
สำหรับฝ่ายแรงงานควรเลิกโทษว่าสื่อไม่ทำข่าวแรงงานได้แล้ว ในยุคสื่อออนไลน์ที่ไม่เพียงมีช่องทาง แต่สามารถเขียนข่าวได้เองเพียง 4-5 บรรทัดก็เป็นข่าวได้ แม้นักวิชาการเห็นว่ายังมีข้อบกพร่องในความน่าเชื่อถือก็ตาม แต่สื่อหลักทุกวันนี้ก็มีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือเช่นกัน ดังนั้นแรงงานก็ควรเขียนข่าวเองได้แล้ว คนทำงานก็มีสิทธิในการพูดและสื่อสาร เป็นหน้าที่ของคนทุกอาชีพ การพูด การสื่อสารเป็นเรื่องของชีวิต
นางสาวศุภรา จันทร์ชิดฟ้า นักข่าวจากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เห็นว่าเครื่องกรองข่าวมี 4 อย่างคือ
1. โฆษณา หนังสือพิมพ์อยู่ได้ด้วยโฆษณา (บางกอกโพสต์หน้าละ 2.5 แสนบาท ไทยรัฐ 4.8 แสนบาท)
2. ความสัมพันธ์ของเจ้าของสื่อ กับใคร ต้องการอะไร ซึ่งนักข่าวจะถูกใบสั่งว่าข่าวไหนทำได้ไม่ได้ บางข่าวเขียนแล้วถูกโยนทิ้งด้วยข้ออ้างต่างๆ เช่นเป็นวิชาการมากเกินไป ซึ่งความจริงเป็นเพราะไปกระทบกับความสัมพันธ์ ของเจ้าของสื่อหรือบรรณาธิการกับผู้สนับสนุน
3. ความสัมพันธ์ของนักข่าว กับนักการเมืองหรือนักธุรกิจ ถ้ารับของแจก กินฟรี จะเขียนข่าวด่าไม่ได้ แต่ถ้าสนิทกับนักการเมืองอาจได้เลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงาน
4. โทรด่า ถอนโฆษณา ทำให้ข่าวอาจไม่ได้ลงแม้นักข่าวจะหาข้อมูล มีการวิเคราะห์วิจัยครบถ้วน
5. คนอ่าน ไม่แสดงความเห็นต่อข่าวแม้นำเสนออย่างไม่ถูกต้อง หรืออย่างแรงงานเพิกเฉยต่อข่าวตัวเองแต่สนใจข่าวดาราท้องมากกว่า
ในส่วนของข่าวแรงงาน เจ้าของสื่อมักไม่สนใจเรื่องแรงงาน เว้นแต่นักข่าวจะใช้บารมีเข้าไปต่อรอง ซึ่งปัญหาแรงงานมักเป็นเรื่องเร่งด่วน มีวิธีเขียนนำเสนอต่างจากสารคดี แต่ก็เหมาะกับทุกวันนี้ที่ทุกอย่างเร่งด่วนไปหมด แรงงานจึงต้องช่วยเหลือนักข่าวในการหาข้อมูลให้ครบถ้วนรอบด้าน อาจใช้เวลามากหน่อย แม้ว่าทำให้ข่าวขาดความสดไป แต่สามารถนำไปเขียนเป็นบทความอันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาในระยะยาว
นายชัยภัทร ธรรมวงษา นักข่าวจากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ให้ความเห็นว่า แรงงานยังคงต้องให้ความสำคัญกับสื่อกระแสหลักเพราะยังมีพลังเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เมื่อแรงงานมีปัญหาและเป็นข่าว ภาครัฐจึงจะให้ความสนใจรีบแก้ปัญหา ทั้งที่กระทรวงแรงงานฯตั้งมากว่า 10 ปีแล้ว เปลี่ยนรัฐมนตรีมาหลายคนก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาทุกข์ร้อนของแรงงานให้ไปในทิศทางที่ดีได้
ในส่วนของนักข่าวกระทรวงแรงงานฯก็มีไม่มาก จะใช้วิธีเช็คข่าวจากผู้ประสานงานหรือนำแรงงาน นักวิชาการ ซึ่งก็มีเรื่องเกิดขึ้นทุกวัน นักข่าวก็จะประชุมกันว่าจะหยิบประเด็นอะไรขึ้นมาเล่น ซึ่งต้องดูทิศทางข่าว แต่ก็จะเก็บข้อมูลเอาไว้หมดรอ “ปล่อยของ” ในวันที่เหมาะสมหรือวันที่ข่าวไม่ค่อยมี แต่จะให้เล่นข่าวแรงงานเป็นข่าวหน้า 1 คงยาก เพราะบรรณาธิการมีอำนาจเลือกข่าว มักให้เหตุผลว่าเป็นข่าวซ้ำๆ หรือข่าวเต็มแล้ว จึงเห็นว่าแม้สื่อกระแสหลักยังจำเป็น แต่แรงงานก็ควรมีช่องทางของตัวเอง อย่างเว็บไซต์ voicelabour ก็ควรระดมช่วยกันทำ เขียนสั้นๆ 4-5 บรรทัด มีเครือข่ายเสนอข่าวพร้อมๆกันก็จะเกิดพลังในการสื่อสารได้
นางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวแสดงความรู้สึกต่อสื่อว่า เท่าที่ฟังเสียงสะท้อนของฝ่ายแรงงานก็ค่อนข้างพอใจเพราะหลายสื่อให้พื้นที่มาก แม้ว่าที่ผ่านมาฝ่ายแรงงานไม่ค่อยได้แลกเปลี่ยนกับสื่อให้เกิดความสนใจทำข่าวแรงงานมากนัก เห็นว่าทุกวันนี้ ทุนกับรัฐแนบแน่นกับสื่อจนเป็นธุรกิจแล้ว ข่าวแรงงานจะถูกกรองไม่ให้นำเสนอกระทบธุรกิจหรือภาครัฐ ข่าวที่เด่นมากจึงจะเบียดขึ้นได้ ซึ่งก็มีทีวีหลายช่องรวมทั้งเคเบิ้ลทีวี และหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่ให้ความสำคัญกับข่าวแรงงานแต่ก็ยังไม่ครอบคลุมสื่อทั้งหมดและปริมาณโดยรวมก็ยังไม่มากนัก
เห็นว่าแรงงานต้องหันมามองตัวเองด้วย ในเรื่องประเด็นที่สื่อเห็นว่าซ้ำๆ ข้อมูลเก่า และต้องคำนึงถึงจุดยืนด้วยเช่น ถ้าอิงการเมืองมากก็จะถูกตั้งคำถาม แล้วก็ต้องรับฟังข้อเสนอแนะจากสื่อมวลชนด้วย
นายชัชวาล สมเพชร ประธานสหภาพแรงงานไทยคูน เล่าให้ฟังว่า คนงานและสมาชิกของสหภาพแรงงานไทยคูนถูกนายจ้างเอาเปรียบจึงรวมตัวกันต่อสู้ตามสิทธิ มีสื่อหนังสื่อพิมพ์และทีวีหลายช่องไปช่วยทำข่าว ทำให้เป็นตัวเร่งกระบวนการของภาครัฐ วันไหนเป็นข่าวก็จะได้รับความสนใจแก้ปัญหาเร็ว แต่ทุกวันนี้ปัญหาของคนงานไทยคูนก็ยังไม่จบ ยังมีการเลิกจ้างมีการบีบให้สมาชิกสหภาพแรงงานลาออก รวมทั้งมีคดีค้างอยู่อีกหลายคดี ซึ่งคงต้องใช้สื่อเป็นช่องทางในการช่วยต่อสู้
นางสุจิน รุ่งสว่าง ผู้ประสานงานเครือข่ายแรงงานแรงงานนอกระบบกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงการเสนอข่าวแรงงานนอกระบบว่า ที่ผ่านมามักเป็นเรื่องสวัสดิการมากกว่าเสนอวิถีชีวิตการทำงานและความเป็นอยู่ อาจเป็นเพราะมีการเรียกร้องมากในสิ่งที่แรงงานนอกระบบยังขาดอยู่
มีความเห็นว่าสื่อทางเลือกกับสื่อกระแสหลักจะเติมเต็มซึ่งกันและกันได้ เหมือนกับแรงงาน นอกระบบก็สามารถเกาะกระแสแรงงานในระบบในการสื่อสารได้เช่นกัน ทั้งนี้แรงงานต้องแสดงความเป็นตัวตนให้ชัด หาข้อมูลจากเจ้าของประเด็นมานำเสนอ มีการเชื่อมโยงพึ่งพาอาศัยกัน หางบประมาณ และแกนนำต้องแบ่งความรับผิดชอบเรื่องหลักเรื่องรองในการเสนอข่าว
นางสาวนันทพร เตชะประเสริฐสกุล คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนส่วนส่งเสริมและพัฒนาเครือข่าย ให้ความเห็นว่า แม้จะเกิดสื่อใหม่ สื่อทางเลือกมาก แต่สื่อกระแสหลักจะยังอยู่ไปอีกอย่างน้อย 10 ปี เพราะสื่อใหม่ยังกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ แรงงานจึงต้องรักษาฐานสื่อกระแสหลักไว้ก่อน แต่ต้องปรับตัวตามสังคมและเทคโนโลยี
ส่วนปัญหาแรงงานไม่เป็นข่าวนอกจากการถูกกรองแล้ว ยังมีเรื่องของทัศนคติทั้งจากสังคม และบรรณาธิการ รวมทั้งจากการหล่อหลอมนักข่าวจากสถาบันการศึกษา โดยทัศนคติที่กดทับสังคมมานานอย่างเช่น ไม่เดินขบวนไม่เป็นข่าว ซึ่งเห็นว่าแรงงานต้อง
1. สำรวจตัวเอง ว่าจะพูดในสิ่งที่อยากพูด หรือพูดในสิ่งที่สังคมจะฟัง ต้องทำให้เห็นว่าปัญหาของแรงงานกระทบต่อสังคมและวันหนึ่งอาจเกิดปัญหาเดียวกันขึ้นกับใครก็ได้
2. สร้างโอกาส ทั้งนี้กระแสเปิดเสรีสื่อช่วงปี 2535 เป็นตัวจุดประกาย ทำให้ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา สิทธิของภาคประชาชนในด้านการสื่อสารเปิดโอกาสให้สามารถมีสื่อเองได้ เช่น วิทยุ เว็บไซต์ สื่อออนไลน์ แต่เป็นเรื่องใหม่ที่แรงงานยังไม่คุ้นเคย
ทุกวันนี้ไม่เพียงแต่สื่อทางเลือกเท่านั้น แม้แต่สื่อกระแสหลักก็ยังพยายามจะทำให้เป็นสื่อสาธารณะ จึงอยู่ที่ว่าแรงงานจะก้าวเข้าไปหาและทำงานกับสื่ออย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องเตรียมตัวโดยอาจเริ่มจากสำรวจช่องทางสื่อสารของแรงงาน ประสานเครือข่ายเพื่อใช้ประโยชน์ก่อน และต้องรักษาพื้นที่สื่อกระแสหลักเอาไว้โดยต้องทำอย่างต่อเนื่อง คำนึงถึงความน่าสนใจของรูปแบบ ความถูกต้องของเนื้อหาซึ่งต้องมาเป็นลำดับหนึ่ง เพราะจะก่อผลกระทบวงกว้างและมีผลต่อความน่าเชื่อถือ
นายชาญวิทย์ อร่ามฤทธิ์ นักจัดรายการวิทยุ กล่าวถึงตนเองว่า เคยมีส่วนเข้าไปอบรมวิทยุชุมชนหลายพื้นที่ พบว่าเกิดพลังที่คนพื้นที่รู้สึกว่า เป็นอำนาจที่ตัวเองได้สื่อได้ปลดปล่อยออกมา
ตนเห็นว่า ความคิด สะท้อนการทำข่าวของนักข่าว ซึ่งสถาบันการศึกษาก็ช่วยไม่ได้หากนักศึกษามีภูมิหลังเป็นคุณหนูที่ไม่ค่อยได้สัมผัสรับรู้ความทุกข์ยากของผู้คนในสังคม
ปัญหาใหญ่อีกอย่างอยู่ที่ตัวแรงงานเองที่ปกติถูกบังคับจากนายจ้างทำให้มีวินัยทำงานตรงเวลา แต่เวลาจะทำเรื่องสื่อกลับกลายเป็นมือสมัครเล่น แรงงานอยู่กับฐานปัญหา การทำสื่อต้องมีการประเมินขั้นตอนการเคลื่อนไหวให้เหมาะสมว่าสาธารณะคิดอย่างไร เซ็นเซอร์ตัวเองด้วยในบางระดับ รูปแบบที่เหมาะกับแรงงาน กำหนดจังหวะของข้อมูลเนื้อหา ทำเอกสารที่ดูแล้วมีชีวิตชีวา มีเสน่ห์ เชยมากหากทำเอกสารแล้วคนไม่อ่าน
และทิ้งท้ายว่า การทำไม่ทำสื่อไม่เกี่ยวกับ ป 4. โดยเริ่มใช้โอกาสจากสื่อของคนอื่นก่อนแล้วค่อยขยับมาสร้างมาใช้สื่อของตัวเอง
นายศักดินา กล่าวสรุปเนื้อหาการเสวนาทั้งหมดว่า
ขบวนการแรงงานทำงานมายาวนาน แต่มีช่องทางผ่านสื่ออย่างจำกัด แต่โลกวันนี้มีทางเลือกในการสื่อสารมากขึ้น สื่อทางเลือกจะเข้ามามีบทบาทมาก แต่ก็คงยังทิ้งสื่อกระแสหลักไม่ได้ แรงงานต้องมีวินัยเป็นมืออาชีพในการทำสื่อมากกว่านี้ ต้องทบทวนพื้นที่ของแรงงานที่มีอยู่ในสื่อทั้งกระแสหลัก สื่อทางเลือก และสื่อของขบวนการแรงงานเอง ตรวจสอบว่าเราใช้ประโยชน์เข้าไปยึดครองพื้นที่สื่อได้เพียงใด กำหนดทิศทางของข่าวได้เพียงใด ทั้งนี้หากเมื่อมองจากมุมที่คนงานจำนวนมหศาลอยู่ในฐานะเป็นผู้บริโภคสื่อ จึงควรจะมีอำนาจกำหนดสื่อได้
นักสื่อสารแรงงาน รายงาน