![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6408-1024x683.jpg)
คณะทำงานเด็กเล็กฯ โชว์พื้นที่นำร่อง สวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า ด้านนักวิชาการชี้ชัด ลงทุนในเด็ก 1 บาท ได้กลับคืน 9 บาท ทุกฝ่ายประสานเสียงแก้ระเบียบ หนุนท้องถิ่นจัดการตนเอง
หาก “เด็ก คืออนาคตของชาติ” แต่ทำไมเด็กเล็กตั้งแต่ 0-6 ปี ยังเป็นกลุ่มประชากร ที่ไม่มีสวัสดิการถ้วนหน้าให้กับเด็กกลุ่มนี้ และ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา The Active ร่วมกับคณะทํางานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน และ เครือข่ายกว่า 450 องค์กร ได้จัดเวทีในการขับเคลื่อน ผลักดันแนวคิดสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าและการกระจายอำนาจ ภายใต้ความร่วมมือ หน่วยงานรัฐ สภาผู้แทนราษฎร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ้น สถาบันวิชาการ และภาคประชาสังคม ภายใต้งาน Policy Forum นโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า โดยในช่วงแรกของเวที เป็นการนำเสนอผลงานศึกษาวิจัย ในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับ “สวัสดิการเด็กเล็ก”
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6475-1024x683.jpg)
งานวิจัย ระบุ เด็กเกิด 1 คน รายได้แม่ลดลง 20 %
เสนอลดภาษีเอกชนดึงร่วมโครงการฯ
เรืองรวี พิชัยกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา ได้นำเสนองานวิจัยในประเด็น “เศรษฐศาสตร์ความเป็นมารดาในประเทศไทย” โดยเรืองรวี กล่าวว่า มารดา ไม่ได้หมายถึงแม่ที่คลอดลูก แต่สามารถครอบคลุมทุกเพศสภาพที่รับหน้าที่ดูแลเด็ก จากงานวิจัยระบุว่า ผู้หญิงที่มีลูก 1 คน จะมีรายได้ลดลง 20 เปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเลี้ยงลูก เนื่องมาจากการมีลูกต้องทำให้แม่ทำงานน้อยลง แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น งานวิจัย ยังระบุด้วยว่า ต้นทุนการเลี้ยงดูลูกในวัย 0-6 ปี ให้มีคุณภาพใช้เงินประมาณ 1.2 ล้านบาทต่อคน ดังนั้นเมื่อแม่มีลูก 1 คน โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ จะมีต้นทุนค่าเสียโอกาส แม่อาจจะต้องลาออกจากงานเพื่อเลี้ยงลูก อีกต้นทุนประเทศที่ไม่ใช่การเงิน นอกจากนี้แนวโน้มสถานการณ์ประชากรในอนาคต เด็กเกิดน้อยลง ผู้สูงอายุมากขึ้นและไม่มีเงินเก็บเพื่อเลี้ยงตัวเอง
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6433-1024x683.jpg)
ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา ได้นำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบาย จากงานวิจัยดังกล่าว คือ ให้ขยายวันลาคลอดแบบรับค่าจ้างเป็น 180 วัน เพิ่มวันลาทั้งในราชการและเอกชน จัดตั้งกองทุนสำหรับผู้ที่มีความยากลำบาก รวมไปถึงมีเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า และที่สำคัญคือการเพิ่มบทบาทการมมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการดูแลเด็กเล็ก นอกจากนี้ยังมีนโยบายสร้างแรงจูงใจให้เอกชนมีส่วนร่วมในการผลักดันนโยบายนี้ ด้วยการลดภาษีสำหรับเอกชนที่มีนโยบายที่เป็นมิตรต่อครอบครัวพนักงาน และลดภาษีเงินได้สำหรับผู้ที่บริจาคให้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6446-1024x683.jpg)
ด้านนักวิชาการ ระบุระบบฐานข้อมูลประชากรของประเทศมีปัญหา
รศ.รัตพงษ์ สอนสุภาพ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า แนวโน้มประชากรที่มีอัตราการเกิดน้อย ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ถือเป็นภัยคุกคามเพราะไม่ได้มีการเตรียมความพร้อม ในการจัดการเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะการดูแลเด็กวัย 0-6 ปี ที่ยังไม่มีนโยบาย รวมไปถึงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่รองรับเด็กเพียง 52 เปอร์เซนต์ เด็กอีก 48 เปอร์เซนต์อยู่นอกระบบ
ทั้งนี้ รศ.รัตพงษ์ กล่าวอีกว่า ปัญหาเด็กตกหล่นส่วนใหญ่เกิดจากระบบการบริหารจัดการข้อมูล เช่น เด็กอายุ 0-6 ปี มีจำนวน 4,497,476 คน มีเด็ก 2.1 ล้านคนหรือคิดเป็น 47.2 เปอร์ ไม่ได้รับเงินสนับสนุน และไม่มีฐานข้อมูลว่าเด็กเหล่านี้อยู่ที่ไหน ภาครัฐขาดการสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เป็นระบบระหว่างหน่วยงานระดับชาติกับหน่วยงานระดับท้องถิ่น ทำให้ภาครัฐจัดสรรงบไม่สอดคล้องกับปัญหา ทั้งในระดับพื้นที่และหน่วยงานที่รับผิดชอบระดับประเทศ
ข้อเสนอต่อรัฐบาล สร้างระบบที่เป็นเอกภาพของหน่วยงานรัฐ ดำเนินนโยบายสู่เป้าหมายการพัฒนาเด็กปฐมวัยเพื่อความยั่งยืน ศึกษาปัญหาอุปสรรคและทางออก
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6480-1024x683.jpg)
คณะทำงาน โชว์ 4 พื้นที่นำร่อง พร้อมย้ำต้องกระจายอำนาจ
ส่วน เกรียงไกร ชีช่วง คณะทํางานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน ได้นำเสนอข้อสรุปจากการจัดเวทีในพื้นที่นำร่องทั่วประเทศ ในภาคเหนือ อบต.แม่วิน จังหวัดเชียงใหม่ ท้องถิ่นสามารถดำเนินการขยายศูนย์พัฒนาเด็กเล็กรับเด็กอายุเริ่มตั้งแต่ 2 ขวบ และสามารถรองรับเด็กชาติพันธุ์ในพื้นที่ได้ด้วย ส่วน ภาคอิสาน เทศบาลสังขะ จ.สุรินทร์เ ชุมชนใกล้เมืองที่ติดขอบชายแดน เทศบาลสามารถจัดระบบรองรับเด็กได้เพียงพอและยังดูแลเด็กเล็กจากพื้นที่ใกล้เคียงได้ด้วย รวมถึงต้องมีการพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลเด็กด้วย ด้าน ภาคตะวันตก คณะทำงานได้เลือกพื้นที่บ้านปรังเผล จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดน พื้นที่ค่อนข้างลำบาก อบต.สามารถจัดรถรับส่งเด็กๆมาที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กได้ ในขณะที่ภาคใต้ บ้านคูเต่า เด็กเล็กที่นี่ได้รับสวัสดิการ 100 เปอร์เซนต์ มีการมอนิเตอร์ที่ดี เมื่อมีเด็กตกหล่นจะมีการแก้ปัญหาอย่างเร็ว อย่างไรก็ตามภาคใต้ มีปัญหาทุพโภชนาการของเด็ก
เกรียงไกร ยังได้นำเสนอถึงข้อจำกัดและปัญหาที่พบจากพื้นที่นำร่อง คือ ท้องถิ่นมีศักยภาพในการดูแล แต่นโยบายไม่ชัดเจน งบประมาณไม่ลงมาในพื้นที่ ทำให้ทำงานลำบาก ดังนั้น คณะทำงานฯ จึงขอย้ำข้อเสนอคือการกระจายอำนาจ
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6492-1024x683.jpg)
ลงทุนในเด็ก 1 บาท จะได้กำไรกลับมา 7-9 บาท ในอนาคต
ในขณะที่นักวิชาการอย่าง ฉัตร คำแสง ผู้อำนวยการ 101 PUB ได้นำเสนอว่า จากการศึกษาในประเด็นสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าพบว่า ว่า เด็ก 70 เปอร์เซ็นต์ ในประเทศอยู่ในครัวเรือนที่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คืออยู่ในครอบครัวค่อนข้างขัดสน นอกจากนี้เด็กยังอยู่ในกับลุ่มเปราะบางซ้ำซ้อน ยากตน ติดยาเสพติด และจากการศึกษา ยังระบุด้วยว่า ไทยยังลงทุนในเด็กน้อยเกินไป เพียงแค่ 0.25 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ UNICEF กำหนดไว้ที่ 2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งข้อมูลจากการศึกษา บอกว่า หากลงทุนในเด็ก 1 บาท จะมีกำไรในอนาคต 7-9 บาท อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการเลี้ยงดูเด็กในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือยากจนคือ 2,500/เดือน ซึ่งจำนวนเงิน 2,000 บาท จะใช้งบประมานเท่ากับเบี้ยผู้สูงอายุแบบถ้วนหน้า มีเด็กตกหล่นที่เข้าไม่ถึงประมาณ แสนกว่าคน
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6450-1024x683.jpg)
นอกจากนี้ ฉัตร ยังกล่าวอีกว่า การที่รัฐจะดูแลเด็กอย่างครบวงจร ยังต้องทำงานอีกหลายด้าน เริ่มตั้งแต่ดูแลคนเป็นแม่ให้มีสุขภาพดี ครอบครัวต้องมีความปลอดภัย มั่นคง ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมสูงวัยสุดยอด ซึ่งเด็กที่โตขึ้นมาต้องได้รับการดูแลที่ดี เพื่อจะโตมาเป็นแรงงานที่ดี เพื่อดูแลสังคมสูงวัยต่อไป
ส่วนประเด็นนโยบายกระจายอำนาจ ควรระบุเรื่อง นโยบายที่ท้องถิ่นทำไม่ได้ เช่นเรื่องระดับชาติที่รัฐกลางดำเนินการเอง เพื่อท้องถิ่นจะได้มีความยืดหยุ่นดำเนินการได้มากขึ้น
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6530-1024x683.jpg)
หมอชลน่าน รับนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับข้อเสนอแนะนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าจากคณะทำงาน 450 องค์กร ถึงนายกรัฐมนตรี และกล่าวว่า ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรื่องนี้มีความสำคัญมาก แม้รัฐบาลจะไม่ได้แถลงให้เป็นนโยบายของ แต่รัฐบาลก็ให้ความสำคัญ ในอนาคตจำนวนประชากรวัยทำงานของเราจะลดลง ซึ่งเป็นมหันตภัยร้ายแรงของประเทศและโลก ซึ่งจำนวนเด็กที่เกิดน้อยและยังด้อยคุณภาพด้วย กระทรวงสาธารณสุขตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงส่งเสริมการมีบุตร ตั้งแต่ก่อนคลอด ระหว่างและหลังคอลอด และจะผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6786-1024x683.jpg)
จากนั้นในช่วงบ่ายเป็น เวทีเสวนา “แนวคิด หลักการ สวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า และการกระจายอำนาจ”
นักวิชาการ ระบุ รัฐสวัสดิการเกิดยากในระบอบอุปถัมภ์
ศ.ผาสุก พงษ์ไพจิตร คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่าเรื่องสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องของอนาคต เศรษฐกิจและสังคม ที่ขึ้นอยู่กับเด็ก โดยเฉพาะเด็กประถมวัย 0- 6 ปี จะโตขึ้นมามีคุณภาพได้อย่างไร การที่สวัสดิการเด็กมีความสำคัญ ต้องย้อนไปในอดีตเรามีแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ใช้คนจำนวนมาก เพราะเรามีอัตราการเกิดที่สูงถึง 30 % ต่อปี ในขณะที่ตอนนี้อัตราการเจริญพันธ์ของเราลดลง แรงงานลดลง ซึ่งเกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ประการที่ 2 ในอดีตประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มาก และประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ทั้งเงินทุนและ เทคโนโลยีต่าง ๆ แต่ในปัจจุบันสิ่งต่าง ๆที่เคยมีเช่น ทรัพยากรธรรมชาติลดน้อยลง ทุกๆอย่างลดลง และประเทศมหาอำนาจย้ายฐานการลงทุนไปประเทศเพื่อนบ้านของ ไทยจึงต้องหันมาพึ่งกำลังภายใน คือ ทรัพยากรมนุษย์โดยเฉพาะเด็กที่ต้องดูแลให้เป็นทรัพยากรชั้นยอด ดังนั้นเราจึงถูกทิ้งห่างจากประเทศเพื่อนบ้าน หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป จะทำให้มีปัญหาไม่สิ้นสุด
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6604-1024x683.jpg)
ทั้งนี้จากการสำรวจครัวเรือนพบว่า สิ่งที่ครอบครัวอยากได้จากรัฐบาลคือการส่งเสียให้เด็กเรียนจนจบปริญญาตรี เพื่อแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างยั่งยืน ในขณะที่ความเป็นจริงการการอุดหนุนเงิน 0-6 ปี ในปัจจุบันยังมีการตกหล่นและไม่ได้รับอย่างถ้วนหน้า
ในขณะที่ การกระจายอำนาจนั้น ผาสุก กล่าวว่า เป็นประเด็นสำคัญเพราะปัจจุบันทั้งอำนาจ งบประมาณ คน กระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลาง ในขณะที่คนส่วนกลางไม่รู้ศักยภาพของท้องถิ่นอย่างเพียงพอ และไม่มีศักยภาพที่จะเรียนรู้และใช้ประโยชน์ของคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง ดังนั้นต้องคิดใหม่เรื่องกระจายอำนาจอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ผาสุกปิดท้ายว่า สวัสดิการเด็ก คืออนาคตประเทศไทย การจะได้สวัสดิการเด็กไม่ง่าย เพราะประเทศกลับเข้าไปสู่ระบบอุปถัมภ์ที่แข็งแรงมาก แต่ผู้มีอำนาจปัจจุบันคุยกับเค้าได้อย่างยื่นหมูยื่นแมว อยู่ที่ว่าเราจะยื่นอะไรให้เขา และเขายื่นอะไรกลับมาให้เรา อย่างไรก็ตาม มีแสงสว่างในปลายอุโมงค์เสมอ สำหรับคนที่ช่างคิด อำนาจที่จะได้มาต้องมาจากความพอใจของประชาชน หมดสมัยแล้วที่อำนาจมาจากระบอบอุปถัมภ์เท่านั้น
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6657-1024x683.jpg)
เสนอรื้อระเบียบท้องถิ่น แก้ปัญหาสวัสดิการเด็กเล็กถ้วยนหน้า
พงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา กล่าวว่า พ่อแม่ ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับอนาคตลูก มากกว่าการสร้างความเจริญใด ๆ หากเรายื่นอนาคตที่ดีให้กับลูก คะแนนเสียงจากการโหวตจะได้มาอย่างอัติโนมัติ ทั้งนี้จากตัวเลขงานวิจัย ระบุว่า ในทางเศรษฐศาสตร์ การลงทุนในเด็ก 1 บาท จะมีกำไร 7-9 บาท เป็นตัวทวีคูณทางเศรษฐศาสตร์ GDP ของประเทศจะโตขึ้น 3% ซึ่งนักการเมืองมักไม่ค่อยให้ความสำคัญกับข้อมูลเหล่านี้ เนื่องจากการลงทุนในเด็กเป็นการลงทุนที่ต้องใช้เวลานาน แต่รากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศคือการพัฒนาเด็กเล็ก 0-5 ขวบ ที่ยังมีช่องว่างอยู่
หากรัฐมีการกระจายอำนาจมากขึ้น จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ซึ่งหากรัฐส่วนกลางไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณให้ ก็ควรให้ท้องถิ่นหาเงินให้ได้มากขึ้น เช่นการหาในเชิงพาณิชย์ เช่นการจัดเก็บภาษีท้องถิ่น ที่มีการเปลี่ยนระบบทำให้รายได้เปลี่ยนไป ควรจะมีการเปลี่ยนระเบียบหลายข้อ ซึ่งอำนาจหน้าที่ค่อนข้างล้าสมัย หากมีการปลดล็อคให้หารายได้ได้บางส่วน จะสามารถสนับสนุนงบประมาณนโยบายนี้ได้
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6463-1024x683.jpg)
นายกเทศมนตรีนครยะลา ได้มีข้อเสนอเกี่ยวกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยเสนอให้แก้เงื่อนไขเด็กที่จะเข้ามาสู่ศูนย์เด็กเล็ก ให้แก้จาก 3-5 ปี เป็น 2-5 ปี เพื่อที่ท้องถิ่นจะได้ดูแลเด็กได้ตั้งแต่ 2 ปี 2.เสนอ อปท.ออกระเบียบดูแลเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนแบบต่อเนื่องระยะยาว ไม่ใช่การสงเคราะห์ระยะสั้น
“หากวันนี้เรายังไม่ปรับเปลี่ยน จะเข้าสู่กับดักขนาดใหญ่ ถึงเวลาแล้วต้องมีการปฏิรูประบบราชการที่ซ้ำซ้อน ควรเสริมความเข้มแข็งให้ท้องถิ่น คนที่รู้ดีที่สุดคือคนที่อยู่ใกล้ ปัญหาที่แก้ได้ในระดับกระทรวงควรจะดำเนินการได้เลย”
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6677-1024x683.jpg)
· ผศ.สุนี ไชยรส คณะทํางานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน
กล่าวว่า ข้อเสนอจากเครือข่ายทั้ง 450 องค์กร ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา มีการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งล่าสุดเรียกร้องเรื่องการกระจายอำนาจ ข้อเรียกร้องคือ ทำไมต้องถ้วนหน้า ซึ่งคำว่าถ้วนหน้าปรากฏอยู่ในระบบประกันสังคมที่มีคนอยู่เพียง 11 ล้านคน จึงเป็นที่มาของการเรียกร้องให้มีถ้วนหน้าคือทุกคนต้องได้ ข้อเรียกร้องจึงพัฒนาขึ้น โดยเรียกร้องตั้งแต่คุณแม่ตั้งท้อง สร้างระบบฐานข้อมูลให้มั่นคง การเคลื่อนไหวของภาคประชาชน เริ่มเปลี่ยนแปลงจากข้อเสนอต่าง ๆ ส่วนเรื่องถ้วนหน้านั้น ทุกช่วงวัยได้ระบบถ้วนหน้าหมด กลุ่มเปราะบาง เหลือเพียงเด็กเล็กที่เป็นช่องโหว่
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6467-1024x683.jpg)
สุนี กล่าวต่อว่า การขับเคลื่อน 9 ปีที่ผ่านมา มีปัญหาใหญ่อยู่ 3 เรื่อง คือ ไม่มีเงิน ในขณะที่บางส่วนบอกว่า เงินมีแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ ใครจะเป็นผู้ตัดสินใจให้จ่ายกับนโยบายนี้ เรื่องการกระจายอำนาจ จะดำเนินการไม่ได้ หากไม่มีมติครม. เงินอุดหนุนถ้วนหน้าคือเงินใช้จ่ายขั้นพื้นฐาน ส่วนที่ 3 ให้ทุกคนถ้วนหน้า จะทำให้สวัสดิการเด็กถ้วนหน้าเป็นพื้นฐาน
“เราแปลกใจทำไมนโยบายของรัฐบาลไม่เร่งรัด เพราะชีวิตเด็กตกหล่นไปเรื่อยๆ และไม่สามารถย้อนกลับมาได้”
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6743-1024x683.jpg)
ก้าวไกล เสนอ พม.ตั้งงบฯสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า เตรียมใช้ กมธ.ติดตามนโยบาย
· ณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า การมองนโยบายเงินอุดหนุนสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า ไม่ใช่มองแค่ถ้วนหน้าหรือจำนวนเงินเท่าไหร่ แต่ต้องเป็นการคุ้มครองดูแลเด็ก ขณะนี้มีเด็ก 2 แสนกว่าคนหลุดจากระบบการศึกษา จุดยืนของพรรคก้าวไกล ย้ำว่าต้องถ้วนหน้า แต่จำนวนเท่าใดต้องถกเถียงกัน เงินจากแหล่งใดต้องนำเสนอในรายละเอียดต่อไป
รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวต่ออีกว่า การติดตามนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า พรรคก้าวไกลจะใช้กลไกของกรรมาธิการติดตามนโยบายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญว่า สส.จะแปรญัตติเพิ่มงบประมาณไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่ทำได้คือ ให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งงบประมาณเรื่องดังกล่าว ให้เป็นถ้วนหน้า และหากมีเรื่องที่ต้องใช้งบประมาณ ขอให้กลไกของสภาฯ ชี้แจง และประเด็นสุดท้าย การอภิปรายไม่ไว้วางใจ นโยบายเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้าไม่ใช่การยื่นหมูยื่นแมว แต่เลือกว่าจะใช้หัวใจหรือสายตาในการตัดสิน ให้มองว่าเด็กเป็นพลเมืองโลกคนหนึ่ง
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6727-1024x683.jpg)
เพื่อไทย บอก จะรายงานนายกฯ ข้อเสนอสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า
ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในรัฐบาลสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีการดำเนินการวางแผนงานเรื่องเด็กและผู้หญิง รวมถึงการดำเนินการแอพลิเคชั่น พรรคเพื่อไทย เรามองเศรษฐกิจและสังคมไปด้วยกัน ปัจจุบัน 1 family 1 soft power ที่จะผลักดัน ซึ่งจะเกี่ยวพันกับสวัสิดการเด็กเล็กถ้วนหน้า ทำงานบนฐานข้อมูล พรรคเพื่อไทยจะเน้นบูรณาการนโยบายต่าง ๆ และผลักดันครอบครัวให้มีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน เมื่อทุกครอบครัวเศรษฐกิจดี ก็จะมีเงินมาเสียภาษี ล่าสุดนายกรัฐมนตรีอนุมัติเงิน 900 ล้านบาท เพื่อให้เด็กที่ตกหลานจากนโยบายสวัสดิการเด็ก ซึ่ง จะนำเรียนหัวหน้าพรรค 600 บาท อย่างน้อยถ้วนหน้า พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่มีครอบครัวเป็นตัวตั้ง
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6714-1024x683.jpg)
หัวหน้าพรรคประชาชาติ ยอมรับ ยังไม่เห็นงบฯ สวัสดิการเด็กฯ
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า นโยบายของพรรคประชาชาติ จะสนับสนุนนโยบายจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน สนับสนุนสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า การนำประเทศไปสู่รัฐสวัสดิการจะโยงถึงการเป็นประเทศที่มีหลักนิติธรรม วันนี้ยังไม่ได้เห็นงบประมาณเกี่ยวกับสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า แต่พยายามจะช่วยผลักดันให้เกิดขึ้น
แนวทางการกระจายอำนาจ ประเทศไทยอาจจะมีวิธีคิดหลายอย่าง แต่ที่คิดแล้วไม่เคยทำคือเรื่องการกระจายอำนาจ งบประมาณส่วนใหญ่จะอยู่ส่วนกลาง ในขณะที่อินโดนีเซียใน 2-3 ปีที่ผ่านมา เจริญแบบก้าวกระโดด เพราะมีการกระจายอำนาจ งบประมาณลงไปท้องที่ ประมาณ 14% ในขณะที่ไทยมีอยู่ที่ 7%
ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย รวมศูนย์อำนาจมากเกินไป และระบบราชการเป็นใหญ่ ประการที่ 3 ระบบการผูกขาดจำนวนมาก และการแก้เรื่องธรรมาภิบาล
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6514-1024x683.jpg)
ทั้งนี้ ในวันเดียวกันคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย ได้ยื่นหนังสือข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ผ่านนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และอีก 3 พรรคการเมือง คือพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ และพรรคก้าวไกล ซึ่งคณะทำงานฯ ได้นำเสนอต่อทุกพรรคการเมืองก่อนการเลือกตั้ง
ในการนี้คณะทำงานฯ จึงมีข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องหลายกระทรวง หลายหน่วยงาน ต่อนายกรัฐมนตรี ดังนี้
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6517-1024x683.jpg)
1. ขอให้มีมติคณะรัฐมนตรี ให้เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กเล็กถ้วนหน้า เด็กทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย ตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ จนเด็กถึงอายุ 6 ปี คนละ 3,000 บาท/เดือน
2. ขอให้มีมติคณะรัฐมนตรี ขยายสิทธิลาคลอด เป็น 180 วัน เพิ่มระยะให้แม่และพ่อได้เลี้ยงดูลูก อย่างใกล้ชิด และเชื่อมต่อไปศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้รับเด็กเล็กตั้งแต่ 6 เดือน
3. ขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยงข้อง ตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้มีจำนวนมากพอ กระจายตัวใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน รับเด็กเล็กตั้งแต่ 6 เดือน ให้มีรูปแบบที่หลากหลาย ให้ยืดหยุ่นเวลา เปิด – ปิด สอดคล้องกับบริบทพื้นที่และวิถีชีวิตการทำงานพ่อแม่หรือผู้ปกครอง
![](https://voicelabour.org/wp-content/uploads/2023/11/IMG_6793-1024x683.jpg)
4. ขอให้รัฐบาลและหน่วยงานที่จัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้การสนับสนุนงบประมาณ และบุคลากรโดยเฉพาะศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโดยชุมชนและเอกชน ที่ยังไม่สามารถขึ้นทะเบียนจัดตั้ง ให้สามารถดำเนินการได้ ตามมาตรฐาน
5. สนับสนุนให้มีนโยบายการกระจายอำนาจส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจังแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยจัดสรรงบประมาณ บุคลากร และกำหนดอำนาจหน้าที่ ในการดูแลศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล ให้มีคุณภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ ขอให้นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน พิจารณาข้อเรียกร้องของคณะทำงานฯ และมีนโยบายในการดูแลเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ให้สอดคล้องตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 และ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เพื่อเป็นการคุ้มครองเด็กทุกคนในสังคมไทย