โรงงานขนาดกลางและเล็ก เดือดร้อนจากนโยบายรัฐ เรื่องปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท อาจถึงขั้นปิดกิจการแรงงานวอนรัฐ เตรียมหาทางช่วยเหลือไว้ล่วงหน้าด้วย
จากการที่รัฐบาลโดยการนำของพรรคเพื่อไทยได้ชูนโยบายหาเสียงในเรื่องปรับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ทำให้เกิดการทวงสัญญาจากภาคแรงงานถึงนโยบายดังกล่าว ว่าจะทำได้เมื่อไหร่ ในทางตรงกันข้ามก็มีเสียงคัดค้านอย่างรุนแรง จากบรรดานายทุนทั้งหลายที่อยากให้รัฐบาลทบทวนนโยบายเรื่องการปรับขึ้นค่าแรง เพราะจะส่งผลให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือธุรกิจ SME ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงถึงขั้นต้องปิดกิจการ
จากการสัมภาษณ์เจ้าของโรงงานขนาดเล็กแห่งหนึ่งย่าน ถนน พุทธรักษา จังหวัดสมุทรปราการ ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นว่า ปัจจุบันแม้จะมีการเตรียมตัวรับมือกับนโยบายการขึ้นค่าแรง วันละ 300 บาท ของรัฐบาลไว้ก็ตาม แต่ก็ไม่แน่ใจจะทนต่อสู้กับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้หรือเปล่า เพราะอย่างที่รู้กันทั่วไป ขนาดค่าแรงยังไม่ปรับขึ้นเลย ของทุกอย่างได้ปรับขึ้นราคากันล่วงหน้าไปหมดแล้ว ไหนจะต้องมาแบกรับกับค่าแรงที่เพิ่มมากขึ้นอีก อนาคตคงหนีไม่พ้นต้องรับแรงงานพม่าเพิ่ม เพื่อเข้ามาทำงานแทนแรงงานคนไทยแน่ หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็อาจต้องปิดกิจการไปเลย เจ้าของโรงงานกล่าว
สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ ของนาย จัน (นามสมมุติ) พนักงานในโรงงาน ว่า ปัจจุบันมีแรงงานพม่าเข้ามาทำงานในโรงงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นการเตรียมรับมือกับค่าแรงที่เพิ่มมากขึ้นของเจ้าของโรงงานก็เป็นได้ เพราะตลอดเวลาที่ทำงานกับโรงงานนี้มา จะมีครั้งนี้แหล่ะที่ใกล้เคียงกับปี2540 มาก เพราะเมื่อก่อนโรงงานมีคนงานเยอะมาก งานก็เยอะ ทำแทบไม่ทัน ต้องทำล่วงเวลา แต่ทุกวันนี้ไม่ต้องถามถึงงานล่วงเวลาเลย แค่งานจะทำวันๆหนึ่งแทบจะไม่มีเลย จนตัวเองต้องหาอาชีพเสริมด้วยการขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพื่อจะได้มีเงินไปให้ลูกๆใช้จ่ายเวลาไปโรงเรียน ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นคนเก่าคนแก่ อาจโดนเลิกจ้างเหมือนคนอื่นไปแล้วก็ได้ นายจัน ยังฝากถึงรัฐบาลว่าถ้าทำตามนโยบายได้แล้วอย่าลืมหาวิธีการช่วยเหลือคนจำนวนมากที่จ่อคิวรอโดนเลิกจ้างไว้ด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นตัวเขาเองก็เป็นได้
นักสื่อสารแรงงาน ศูนย์ข่าวสมุทรปราการ รายงาน