ปิดฉากเวทีอาเซี ยนภาคประชาชนประสบความสำเร็จแม้ รัฐบาลกีดกันเสรีภาพ – ประชาธิปไตย ! ทุกภาคส่วนร่วมระดมทุนผนึกกำลั งแสดงพลังความเข้มแข็ งขบวนการประชาสังคม เตรียมฟ้องศาลปกครอง เอาผิด พม. ฐานก็อบบี้ เวที ACSC/APF 2019 แบบไร้ยางอาย พร้อมจี้รื้อ คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนอาเซี ยน เหตุไร้น้ำยาไร้กลไกคุ้มครองนั กสิทธิมนุษยชน เสนอตั้ง สภาสิทธิมนุษยชนอาเซียน ปลอดการครอบงำจากรัฐบาล
เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต การประชุมมหกรรมประชาชนอาเซียน ACSC/APF 2019 ระหว่างวันที่ 9 – 12 ก.ย. 2562 ที่มีเครือข่ายภาคประชาสั งคมประเทศอาเซียนเข้าร่วมนับพั นคนได้ออกแถลงการณ์ร่วมกัน เพื่อนำข้อเรียกร้องของแต่ ละประเทศเสนอต่อรัฐบาลอาเซียน 11 ชาติ สำหรับการประชุ มมหกรรมประชาชนอาเซียน ACSC/APF 2020 ประเทศเวียดนามเป็นเจ้าภาพ
นางชลิดา ทาเจริญศักดิ์ ประธานร่วมจัดงานฯ กล่าวว่าการประชุมครั้งนี้ถือว่ าประสบความสำเร็จแม้จะมีปัญหาอุ ปสรรคมากมาย เนื่องจากรัฐบาลไทยโดยกระทรวงพั ฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ปิดกั้นสิทธิเสรี ภาพของภาคประชาสังคมอาเซียน ด้วยการจัดเวทีคู่ขนานจนทำให้ ภาคประชาสังคมอาเซียนต้องย้ ายสถานที่มาจัดเวทีการประชุมที่ มหาวิทยาธรรมศาสตร์ รังสิต โดยลำพังปราศจากการสนับสนุน แต่ในที่สุดกลับประสบความสำเร็ จอย่างงดงาม และ บรรยากาศเป็นไปด้วยพลั งจากภาคประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งคนไทย และ ต่างประเทศเข้าร่วมงานอย่างคั บคั่งเพื่อแสดงพลังภาคประชาชน แม้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรั ฐบาลไทยก็ตาม แต่สามารถระดมทุนจากแหล่งทุนต่ างๆที่เห็ นใจขบวนการประชาชนอาเซียน
นางสุนทรีย์ หัตถี เซ่งกิ่ง ประธานร่วมจัดงานฯ กล่าวว่ าคณะกรรมการมหกรรมประชาชนอาเซี ยน เตรียมฟ้องศาลปกครอง เพื่อดำเนินการเอาผิดต่อผู้บริ หารกระทรวง พม. เนื่องจากจัดเวทีคู่ขนานกั บภาคประชาสังคมอาเซียน ลอกเลียนแบบการจัดเวที การตั้งชื่อการจัดงาน การประชุมกลุ่มย่อย หรือแม้แต่หัวข้องาน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ภาคประชาสั งคมอาเซียนยอมรับไม่ได้ ที่สำคัญในการประชุ มมหกรรมประชาชนอาเซียน ปีนี้ถือว่า ประชาธิปไตยตกต่ำที่สุด เพราะไม่เปิดพื้นที่ให้ ภาคประชาชนอาเซียนได้นำเสนอปั ญหา ทางออกแ หรือ ทางแก้ปัญหา ด้วยการปฏิเสธเวที ภาคประชาชนอาเซียน จนไม่สามารถนำไปสู่การกำหนดทิ ศทางการแก้ปัญหาในภูมิภาค หรือ การกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่ างยั่งยืนได้ ดังนั้น พม.ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิ ดขึ้น คือ ประชาธิปไตยในอาเซียนถดถอยหลั งไปไกลกว่า10 ปีก่อน เพราะในอดีตเลขาธิการอาเซียน ยังเข้ามาร่วมงาน แต่ปัจจุบันบรรยากาศไม่เป็ นประชาธิปไตย
นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ เลขาธิการมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุ ษยชนและการพัฒนา(มสพ.) กล่าวว่าในเวทีการประชุมครั้งนี้ มีการแลกเปลี่ยนสถานการณ์สิทธิ มนุษยชน และประชาธิปไตย ในภูมิภาคอาเซียน จากการประสบการณ์การทำงาน 10 กว่าปีที่ผ่านมา รวมถึงการสรุปข้อเสนอ 7 เวที 7 ประเด็นจาก 11 ประเทศอาเซียน เพื่อนำไปเป็นข้อเรียกร้องให้รั ฐบาลอาเซียนโดยเฉพาะการยอมรั บความหลากหลายทางวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ หรือ เชื้อชาติ ด้วยการเปิดพื้นที่สาธารณะให้ ภาคประชาสังคมอาเซียนได้เข้ าไปมีส่วนร่วมโดยเฉพาะคนรุ่ นใหม่ เพราะคนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคั ญในการผลักดั นวาระภาคประชาชนอาเซียนต่ อไปในอนาคต ดังนั้นรัฐบาลต้องสนับสนุนส่ งเสริมนิสิตนักศึกษาเข้าไปมีส่ วนร่วมในการผลักดั นนโยบายสาธารณะ โดยต้องมีความร่วมมือระหว่ างภาครัฐกับภาคประชาสังคม ถือเป็นหนึ่งในข้อเสนอต่อรั ฐบาลอาเซียนนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานอาเซียน
นอกจากนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในเวที การประชุมครั้งนี้ คือ การสร้างความเข้มแข็งแก่ ภาคประชาสังคมอาเซียนให้มี การเรียนรู้ร่วมกันจากเวทีประชุ มเชิงปฏิบัติการ ดังนั้นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ข้ามประเทศ และ ข้ามวัฒนธรรม ถือเป็นบรรยากาศความร่วมมือที่ ดีอย่างแท้จริง และ ในเวทีภาคประชาสังคมอาเซียนครั้ งนี้ มีการเรียกร้องให้มีการรื้ อและปรับโครงสร้าง คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐว่าด้ วยสิทธิมนุุษยชน ที่ปัจจุบัน ไทยเป็นประธาน คือ ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ อดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่ตอบสนองข้อเรียกร้ องและการกลไกคุ้มครองนักสิทธิ มนุษยชนอย่างจริงจัง เพราะปัจจุบันคณะกรรมาธิการฯดั งกล่าวมาจากการแต่งตั้งโดยรั ฐบาลอาเซียน จึงปราศจากความเป็นกลางและอิสระ จึงเสนอให้มีการจัดตั้ง “ศาลสิทธิมนุษยชนอาเซียน” หรือ “สภาสิทธิมนุษยชนอาเซียน” ที่มาจากตัวแทนภาคประชาสั งคมอาเซียนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ถูกครอบงำจากรัฐบาลอาเซี ยน โดยเฉพาะกรณี “อุ้มหาย” นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ถือเป็นคดีอาชญากรรมต่อมนุ ษยชาติ ในการดำเนินคดีหรือค้นหาตัวผู้ กระทำผิดต้องไม่มีอายุความ
ทั้งนี้ภาคประชาสั งคมในนามประเทศไทย เสนอให้การบังคับให้สาบสู ญจากการถูกอุ้มหาย โดยเฉพาะกรณีนายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ แกนนำกะเหรี่ยงที่หายตัวไปอย่ างลึกลับเมื่อ 5 ปีก่อน หรือ กรณี นายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความสิทธิมนุษยชน ต้องมีมาตรการปกป้องนักสิทธิมนุ ษยชน เพราะถือเป็นการเคารพสิทธิมนุ ษยชนขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลอาเซี ยนต้องให้การยอมรับและเคารพ