ยงยุทธ เม่นตะเภา เลขาธิการคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ ฝ่ายวิชาการ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
จัดทำเมื่อ 28 กันยายน 2556
กว่า 21 ปี ของการเรียกร้องขององค์กรแรงงานในประเทศไทยเพื่อให้รัฐบาลไทยรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรองร่วม
21 ปีบนเส้นทางอันขรุขระของการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง ดูได้จากตัวเลขจำนวนสถานประกอบการที่กระทรวงพาณิชย์ระบุเมื่อธันวาคม 2555 รวม 409,977 แห่ง แต่กลับมีการตั้งสหภาพแรงงานทั่วประเทศเพียง 1,379 แห่ง (กุมภาพันธ์ 2556) หรือคิดเป็นร้อยละ 0.33 ของสถานประกอบการเท่านั้น ทำให้ประเทศไทยมีจำนวนสหภาพแรงงานน้อยที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค
อนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 และ 98 จึงถือเป็นหัวใจสำคัญของผู้ใช้แรงงาน และถือเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง อีกทั้งยังเป็นการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย ซึ่งทั่วโลกจะให้การยอมรับในสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย โดยถือว่าเป็นประเทศที่ยอมรับในสิทธิแรงงาน มีการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยผ่านการรวมตัวและการเจรจาต่อรองของแรงงาน
ในปีที่ผ่านมา พ.ศ. 2555 กระทรวงแรงงานได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 190 วรรค 3 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเมื่อเดือนมิถุนายน–กรกฎาคม จำนวน 5 ครั้ง โดยภาคเหนือจัดที่เชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจัดที่ขอนแก่น ภาคตะวันออกจัดที่ชลบุรี ภาคใต้จัดที่สุราษฎร์ธานี และภาคกลางจัดที่กรุงเทพ มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 492 คน
กระทรวงแรงงานได้สรุปผลในภาพรวม พบว่า
– มีผู้เข้าร่วมที่เห็นด้วยกับการให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 รวม 85.94 % ไม่เห็นด้วย 9.89 % และไม่แสดงความคิดเห็น 4.17 %
– มีผู้เข้าร่วมที่เห็นด้วยกับการให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 98 รวม 87.44 % ไม่เห็นด้วย 7.29 % และไม่แสดงความคิดเห็น 5.47%
ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้มีการเสนอแนะว่าภาครัฐควรรีบดำเนินการในการให้สัตยาบันทั้ง 2 ฉบับ และปรับปรุงกฎหมายภายในประเทศให้สอดคล้องกับการรวมตัวและเจรจาต่อรอง อีกทั้งรัฐไม่ควรนำปัญหาแรงงานข้ามชาติมาเป็นอุปสรรคต่อการให้สัตยาบัน เห็นควรให้กำหนดแนวทางการใช้สิทธิในการรวมตัวภายใต้เสรีภาพที่พึงมีพึงได้ เพื่อมิให้กระทบต่อความมั่นคงของประเทศที่ยังมีความจำเป็นต้องใช้แรงงานข้ามชาติ ซึ่งมีผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ
นอกจากนั้นแล้วเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบความเห็นข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “การให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87 และฉบับที่ 98” ซึ่งได้เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะว่า รัฐบาลควรพิจารณาการให้สัตยาบันอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับไปพร้อมกัน
นี้ไม่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ ILO ประเทศไทย ก็ได้บรรจุเรื่องการให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ 87 และ 98 ไว้ในโครงการระดับประเทศว่าด้วยงานที่มีคุณค่าปี 2555-2558 โดยให้เป็นงานที่ต้องดำเนินการในลำดับต้น และกำหนดกรอบเวลาการให้สัตยาบันของรัฐบาลไทยให้แล้วเสร็จภายในปี 2557
ดังนั้นกล่าวได้ว่าวันนี้ประเทศไทยมีความพร้อมอย่างยิ่งในการที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จักต้องเสนอเรื่องดังกล่าวนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2557 เพื่อให้ความเห็นชอบ และจะได้เสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาให้เห็นชอบก่อนดำเนินการให้มีผลผูกพันต่อไป
ทั้งนี้เนื่องจากอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ มีคาบเกี่ยวกับกับมาตรา 190[1] ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ.2550 และขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกายังพิจารณา “ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำหนังสือสัญญาตามมาตรา 190” ไม่แล้วเสร็จ ทำให้ไม่มีความชัดเจนในกรณีการให้สัตยาบันอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้ว่าเข่าข่ายมาตรา 190 หรือไม่ อย่างไร
จากข้อมูลเดือนมิถุนายน 2556 กระทรวงแรงงานได้รายงานในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2556 ณ ห้องประชุมสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน ว่ากระทรวงแรงงานได้สอบถามความเห็นจากกระทรวงการต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว ได้รับคำตอบว่าอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ น่าจะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ.2550
สำหรับในส่วนของคณะกรรมการกฤษฎีกา ไม่ได้ตอบความเห็นนี้กลับมาที่กระทรวงแรงงาน มีเพียงจดหมายแจ้งว่าให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงเป็นผู้สอบถามไปที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแทน
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่ากระบวนการให้สัตยาบัน คือ ความร่วมมือระหว่างฝ่ายบริหาร คือ คณะรัฐมนตรี และฝ่ายนิติบัญญัติ คือ รัฐสภา อย่างใกล้ชิดในการดำเนินการ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจของการผลักดันขององค์กรแรงงานกลุ่มต่างๆมากขึ้น จึงขอทบทวนที่มาที่ไปและย้อนกลับไปยังช่วงปี 2534-2535 ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการผลักดันเรื่องนี้
(1) การหายตัวไปของทนง โพธิอ่าน : จุดเริ่มต้นของการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98
23 กุมภาพันธ์ 2534
กลุ่มทหารที่เรียกตนเองว่าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เข้าทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีผู้มาจากการเลือกตั้ง สังคมไทยในขณะนั้นได้ถูกปกคลุมไปด้วยเงาทะมึนแห่งความอยุติธรรม สิทธิ เสรีภาพของประชาชนถูกลิดรอนและถูกกำราบด้วยกฎอัยการศึก
26 กุมภาพันธ์ 2534
พลเอกสุจินดา คราประยูร ได้เรียกผู้นำแรงงานทั่วประเทศเข้าพบเพื่อชี้แจงนโยบายและเหตุผลในการยึดอำนาจ ในการชี้แจงครั้งนั้นพลเอกสุจินดาได้พูดว่า “ทุกข์ของกรรมกรถือเป็นทุกข์ของทหาร” แต่สำหรับทนง โพธิอ่าน แล้ว ในฐานะผู้นำแรงงานซึ่งมีตำแหน่งในขณะนั้นเป็นรองประธานภาคพื้นเอเชียแปชิฟิกของสมาพันธ์แรงงานเสรีแรงงานระหว่างประเทศ (ICFTU) เขาเห็นว่า “เป็นเพียงลมปากที่ไม่อาจเชื่อถือได้”
เพราะต่อมาไม่นาน รสช. ก็ได้ลิดรอนสิทธิสหภาพแรงงานของคนงานรัฐวิสาหกิจ ทนง โพธิอ่าน ได้เรียกประชุมสภาแรงงานแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณามาตรการตอบโต้ในประเด็นการแยกแรงงานรัฐวิสาหกิจออกจากกฎหมายแรงงาน
ภายหลังการประชุมเขาได้แสดงทัศนะอย่างแข็งกร้าวต่อคณะ รสช.ว่า “ทหารกำลังสร้างปัญหาให้กับกรรมกรด้วยการยุบสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจและออกประกาศ รสช. ฉบับที่ 54 อย่านึกว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินแล้วจะทำอะไรก็ได้ ต้องฟังเสียงประชาชนบ้าง และเวลานี้ทหารทำให้กรรมกรเป็นทุกข์ วันนี้สามช่า วันหน้าอาจไม่มีแผ่นดินอยู่”
1 พฤษภาคม 2534
การจัดงานวันกรรมกรสากลถูกจำกัดให้อยู่แค่ในพื้นที่สนามกีฬาไทย- ญี่ปุ่นดินแดง เพื่อป้องกันไม่ให้แรงงานออกมาเดินขบวน
14 มิถุนายน 2534
สภาแรงงานแห่งประเทศไทยภายใต้การนำของทนง โพธิอ่าน ได้จัดการประชุมใหญ่กลางท้องสนามหลวง เรียกร้องให้คืนสหภาพแรงงานให้คนงานรัฐวิสาหกิจและยกเลิกประกาศ รสช.ฉบับที่ 54
ผลจากการเรียกร้องดังกล่าวทนง โพธิอ่าน ถูกสั่งห้ามมิให้เดินทางไปร่วมประชุมประจำปีขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เพราะเกรงว่าจะนำเรื่องการยุบสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจและประกาศ รสช. ฉบับที่ 54 ไปประณามกลางที่ประชุมนานาชาติ
19 มิถุนายน 2534
ทนง โพธิอ่าน ได้ถูกทำให้หายตัวไปอย่างลึกลับไร้ร่องรอย จากนั้นจนบัดนี้กว่า 22 ปีล่วงแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือได้ข่าวที่แท้จริงเกี่ยวกับทนงอีกเลย
กล่าวได้ว่านี้อาจคือจุดเริ่มต้นสำคัญของการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องรับอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87 และ 98 เพราะกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ที่มีอยู่ในประเทศไทยไม่สามารถคุ้มครองการลุกขึ้นมาต่อสู้ของแรงงานได้แม้แต่น้อย
(2) 21 ปีข้อเรียกร้องวันกรรมกรสากล : การรับรองอนุสัญญารับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98
7 เมษายน 2535
พล.อ.สุจินดา คราประยูร ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ของประเทศไทย
1 พฤษภาคม 2535
กลุ่มสหภาพแรงงานย่านต่าง ๆ กลุ่มสหพันธ์แรงงาน กลุ่มรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ร่วมกันจัดงานวันกรรมกรสากลหน้ารัฐสภา ซึ่งในขณะนั้น รสช. ประกาศกร้าว ห้ามมิให้กรรมกรจัดงานวันกรรมกรสากลในปีนั้น
และหลังจากนั้นหลายคนคงทราบดีได้เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬขึ้นมา มีการเดินขบวนเพื่อขับไล่เผด็จการ รสช. มีการปราบปรามอย่างรุนแรง จนในที่สุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้ผู้นำทั้งสองฝ่ายเข้าเฝ้า พลเอก
สุจินดาลาออกจากตำแหน่ง นายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการ
13 กันยายน
มีการเลือกตั้งใหญ่ทั่วทั้งประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ได้รับคะแนนเสียงมาเป็นลำดับหนึ่ง นายชวน หลีกภัย ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี
พ.ศ. 2536
มีการจัดตั้งกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมขึ้น การจัดงานวันแรงงานแห่งชาติจึงอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงแรงงานฯมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน
อ.ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา เคยแลกเปลี่ยนเสมอมาในเรื่องการให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 ว่า “องค์กรแรงงานได้มีการยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยเนื่องในวันกรรมกรสากลมาตั้งแต่ปี 2535 แล้ว แต่ไม่เคยได้รับการขานรับจากรัฐ” ช่วงฮึกเหิมสุดของการเรียกร้องกล่าวได้ว่า เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2552 เมื่อองค์กรแรงงานระดับชาติส่วนใหญ่ได้ร่วมมือกันก่อตั้ง “คณะทำงานผลักดันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87และ 98” โดยมีคุณชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยเป็นประธานคณะทำงาน และช่วยกันรณรงค์อย่างจริงจังในปี 2552-2553 จนกระทรวงแรงงานได้จัดตั้ง “คณะทำงานประสานการดำเนินงานเพื่อให้สัตยาบันอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และ 98” ซึ่งประกอบด้วยทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตามเนื่องจากไม่สามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับข้อเรียกร้องวันกรรมกรสากลย้อนกลับไปยังปี 2535 ได้ มีเพียงข้อมูลของบุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ ฝ่ายวิชาการ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ที่ได้รวบรวมข้อเรียกร้องวันกรรมกรสากลของคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ มาตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปัจจุบัน คือ ปี 2556
ทั้งนี้ในปี 2547 เป็นปีแรกที่คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างเป็นทางการในปี 2546 ได้มีการแยกการจัดงานวันกรรมกรสากลออกมาจากคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ
ดังนั้นในตารางด้านล่างนี้ก็จะบรรจุให้เห็นข้อเรียกร้องของทั้ง 2 องค์กรจัดงาน โดย code ข้อเรียกร้องที่แต่ละองค์กรได้ยื่นต่อรัฐบาลโดยตรง ซึ่งจะช่วยทำให้ทราบความเคลื่อนไหวของการเรียกร้องในเรื่องการรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 รวมถึงข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับการรวมตัวและเจรจาต่อรอง ว่าเกิดขึ้นมากว่า 21 ปีแล้ว แม้ว่าจะไม่ต่อเนื่องทุกปี แต่ก็ถือว่าเป็นข้อเรียกร้องสำคัญ
มีรายละเอียดดังนี้
ปี |
ชื่อประธานกรรมการจัดงาน วันแรงงานแห่งชาติ
|
ข้อเรียกร้องวันแรงงานแห่งชาติ ของคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ / คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ที่เกี่ยวข้องกับอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87,98 |
2540 | นายชิน ทับพลี
สภาลูกจ้างแห่งชาติ |
|
2541 | นายบรรจง พรพัฒนานิคม
แรงงานเอกชนแห่งประเทศไทย |
|
2542 | นายพานิชย์ เจริญเผ่า
สมาพันธ์แรงงานแห่งประเทศไทย |
|
2543 | นายประเทือง แสงสังข์
(ชินโชติ แสงสังข์) สภาแรงงานแห่งประเทศไทย |
|
2544 | นายเสน่ห์ ตันติเสนาะ
เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ |
|
2545 | นายพนัส ไทยล้วน
แรงงานแห่งประเทศไทย |
|
2546 | นายมนัส โกศล
พัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย |
|
2547 | นายประเทือง แสงสังข์
(ชินโชติ แสงสังข์) สภาแรงงานแห่งประเทศไทย |
|
คณะกรรมการ
สมานฉันท์แรงงานไทย |
|
|
2548 | นายพนัส ไทยล้วน
แรงงานแห่งประเทศไทย |
|
คณะกรรมการ
สมานฉันท์แรงงานไทย |
|
|
2549 | นายบรรจง บุญรัตน์
ศูนย์กลางแรงงานแห่งประเทศไทย |
|
คณะกรรมการ
สมานฉันท์แรงงานไทย |
|
|
2550 | นายมนัส โกศล
พัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย |
|
คณะกรรมการ
สมานฉันท์แรงงานไทย |
|
|
2551 | นายอุดมศักดิ์ บุพนิมิต
องค์การแรงงานแห่งประเทศไทย |
|
คณะกรรมการ
สมานฉันท์แรงงานไทย |
|
|
2552 | นายชินโชติ แสงสังข์
สภาแรงงานแห่งประเทศไทย |
|
คณะกรรมการ
สมานฉันท์แรงงานไทย |
|
|
2553 | นายทวี เตชะธีราวัฒน์
สมาพันธ์แรงงานแห่งประเทศไทย |
|
คณะกรรมการ
สมานฉันท์แรงงานไทย |
|
|
2554 | นายชินโชติ แสงสังข์
สภาแรงงานแห่งประเทศไทย |
|
คณะกรรมการ
สมานฉันท์แรงงานไทย |
|
|
2555 | นายชัยพร จันทนา
สภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานอิสระแห่งประเทศไทย |
|
คณะกรรมการ
สมานฉันท์แรงงานไทย |
|
|
2556 | นายชินโชติ แสงสังข์
สภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานแห่งประเทศ |
|
คณะกรรมการ
สมานฉันท์แรงงานไทย |
|
ดังนั้นจากการประมวลข้อเรียกร้องของคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ และในส่วนของคณะ กรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย จึงเห็นได้ว่าข้อเรียกร้องในเรื่องนี้เป็นข้อเรียกร้องที่องค์กรแรงงานได้มีการเคลื่อนไหวและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องมากที่สุดกว่าข้อเรียกร้องอื่นๆ จึงถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรต้องเร่งดำเนินการให้สัตยาบันอนุสัญญาพื้นฐานทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ซึ่งจะสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2558 มาตรา 64 ที่บัญญัติไว้ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชน องค์การพัฒนาเอกชน หรือหมู่คณะอื่น…” และยังเป็นการส่งเสริมให้คนงานและนายจ้างมีสิทธิและเสรีภาพในการสมาคมตามมาตรฐานแรงงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศด้วยเช่นเดียวกัน
—————————————
[1] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้วางรากฐานใหม่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาสังคมในกระบวนการทำ “สนธิสัญญาระหว่างประเทศ” โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 190 และได้กำหนดบทบาทของรัฐสภา เข้ามาเกี่ยวข้องกับกระบวนการทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
ทั้งนี้คำว่า “สนธิสัญญา” อาจจะมีชื่ออย่างใดก็ได้ เช่น สนธิสัญญา อนุสัญญา พิธีสาร บันทึกความเข้าใจ เอกสารเสริมอนุสัญญา ความตกลง หนังสือแลกเปลี่ยน บันทึกการเจรจา ธรรมนูญ ปฏิญญา เป็นต้น นอกจากนั้นการตกลงด้วยวาจาระหว่างรัฐก็มีฐานะเป็นสนธิสัญญา แม้จะไม่ได้อยู่ภายใต้บทนิยามของอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 ก็ตามก็ยังคงมีฐานะทางกฎหมายเป็นสนธิสัญญาเช่นเดียวกัน
เจตนารมณ์สำคัญในการบัญญัติมาตรา 190 เป็นผลมาจากการที่ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการทำความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเปิดเสรีการค้า การลงทุน จำนวนมาก และโดยเหตุที่การทำความตกลงการค้าเสรีดังกล่าวนั้น เป็นความลับมาโดยตลอด จึงเห็นว่าไม่ควรที่ไทยจะผูกพันตามสนธิสัญญาโดยการลงนามเพียงอย่างเดียว สมควรที่จะต้องให้รัฐสภาร่วมกันพิจารณา และต้องให้มีการให้สัตยาบันก่อนที่จะผูกพันตามสนธิสัญญา เพื่อให้โอกาสสังคมไทยได้ศึกษาอย่างรอบคอบในข้อบทที่ถูกต้องแท้จริงของสนธิสัญญานั้น (Authentic Text) และเป็นโอกาสที่สังคมไทยจะได้รู้อย่างแท้จริงว่าสนธิสัญญา หรือ ความตกลงที่รัฐบาลทำนั้นทำให้สังคมไทยได้ หรือเสียอะไรบ้าง