1พ.ค.วันกรรมกรสากล..สสรท.และสรส. เรียกร้องปรับขึนค่าจ้าง 712 บ. พร้อมลดค่าใช้จ่ายประชาชนด่วน และติดตาม 13 ข้อเรียกร้องเก่า

1 พฤษภาคม 2566 สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้เดินขบวนรณรงค์ จากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปที่ประตู 5 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือต่อ รักษาการนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
เรื่อง ข้อเสนอวันกรรมกรสากล ปี 2566 ซึ่งมีข้อเรียกร้องเร่งด่วน 2 ข้อ 1.เรียกร้องให้มีการปรับขึ้นค่าจ้าง 712 บาท 2. ลดค่าใช้จ่ายประชาชน และติดตาม 13 ข้อเรียกร้องเก่าที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากรัฐบาล โดยมีข้อเสนอ ดังนี้

1 พฤษภาคม ของทุกปี กรรมกรหรือผู้ใช้แรงงานทั่วโลกต่างพร้อมใจกันออกมาร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในวันกรรมกรสากล หรือ MAY DAY และรำลึกถึงคุณูปการของกรรมกรในยุคของการต่อสู้เพื่อให้กรรมกรหรือผู้ใช้แรงงานทั่วโลก ได้มีความมั่นคงในการทำงาน ความปลอดภัยในการทำงาน ค่าจ้าง สวัสดิการ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนเสรีนิยมครอบโลก ได้มีการวางแผนออกแบบการจ้างงานที่เรียกว่าการจ้างงานแบบยืดหยุ่น ซึ่งก็คือ การจ้างงานระยะสั้น ชั่วคราว แพร่ระบาดไปทั่วทั้งโลก
ทั้งภาครัฐและเอกชน แน่นอนว่า หากมองถึงความสำเร็จของฝ่ายทุนก็ถือว่าเป็นการวางแผนที่แยบยล แต่อีกด้านหนึ่ง กรรมกร ผู้ใช้แรงงานมีความยากลำบากมากขึ้น ความไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัยในการทำงาน ค่าจ้างที่ต่ำ ทำให้คนงานไม่สามารถวางแผนในชีวิตได้เลย ความยากลำบากนี้ส่งผลให้ชีวิตอยู่ในสภาวะความยากจน หนี้สิน ทำงานหนัก ชั่วโมงการทำงานยาวนานขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพ บวกกับการกำหนดนโยบายของรัฐที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนทำให้ประเทศไทยถูกจัดลำดับให้อยู่ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำในทุกด้านสูงที่สุดในโลก
การพัฒนาการทางเทคโนโลยีทำให้เกิดเครื่องมือ เครื่องจักรสมองกลที่ทันสมัยและได้ถูกนำเข้ามาใช้ทำงานแทนมนุษย์ คนงานจำนวนมากต้องตกงาน รวมทั้งการเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ส่งกระทบต่อการซ้ำเติมให้ต้องลำบากมากยิ่งขึ้น โดยภาพรวมแล้วชีวิตของคนทำงาน ผู้ใช้แรงงาน ทั้งแรงงานในระบบ นอกระบบ แรงงานอิสระต้องเผชิญกับรูปแบบการจ้างงานที่เปลี่ยนไป ไร้ความมั่นคง ในขณะที่กฎหมายต่าง ๆ ที่ใช้มาเป็นเวลานานกลับไม่สอดคล้องและคุ้มครองแรงงานได้จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป พลังของคนทำงานมีอำนาจการต่อรองลดน้อยลง อันเป็นเหตุเพราะกฎหมายและกติกาสากลที่รัฐบาลยังไม่รับรองข้อเสนอเร่งด่วน ซึ่งแน่นอนว่า จะส่งผลกระทบระยะยาวต่อการฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจของประเทศ จากภาวการณ์ขาดรายได้ รายได้ไม่พอกับรายจ่าย มีหนี้สินมาก ภาระทางสังคมสูง กิจการของรัฐถูกถ่ายโอนให้เอกชนดำเนินการแทนรัฐ ประชาชนต้องแบกรับภาระที่แพงเพื่อผลกำไรของเอกชน เช่นเรื่องพลังงาน น้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้า น้ำประปา ระบบขนส่ง ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ล้วนแต่เป็นการเพิ่มรายจ่ายสร้างภาระซ้ำเติมแก่ประชาชน และผู้ใช้แรงงาน

ทุกปีในวันสำคัญนี้มีการยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล แต่ปัญหาความเดือดร้อนของคนทำงาน ผู้ใช้แรงงานยังดำรงอยู่ จึงมีความจำเป็นในการยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลเนื่องในวันกรรมกรสากล ประจำปี 2566 (2023) ดังนี้

ข้อเสนอต่อรัฐบาล เนื่องในวันกรรมกรสากล ปี 2023


ข้อเสนอเร่งด่วน

  1. รัฐต้องกำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรมให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน
    1.1 รัฐต้องปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 712 บาท เท่ากันทั้งประเทศ
    1.2 กำหนดนิยามค่าจ้างขั้นต่ำแรกเข้าให้มีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพของตนเองและครอบครัว 2 คน ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ และต้องเท่ากันทั้งประเทศ
    1.3 กำหนดให้มีโครงสร้างค่าจ้างและมีการปรับค่าจ้างทุกปี
  2. รัฐต้องลดรายจ่ายของประชาชน เพื่อเพิ่มรายได้ เพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนส่วน
    ใหญ่ของประเทศ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานล่างในภาพรวมได้อย่างแท้จริง
    2.1 ควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีพของประชาชนในราคาที่เป็นธรรม
    2.2 ลดราคาน้ำมัน ก๊าซ พร้อมกับการปรับโครงสร้างการกำหนดราคาใหม่ เลิกเก็บเงินที่ซ้ำซ้อนทั้งระบบภาษี และ เก็บเงินเข้ากองทุนต่าง ๆ ทำให้ประชาชนต้องจ่ายราคาต่อลิตรสูงมาก
    2.3 ลดราคาค่าขนส่ง ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต รัฐต้องไม่ปล่อยให้กิจการเหล่านี้ตกไปอยู่ในการบริหารจัดการของกลุ่มทุนเอกชน เพราะเป็นความสำคัญและจำเป็นของประชาชน
    2.4 ลดราคาค่าไฟฟ้าที่ปรับราคาสูงขึ้นอย่างมาก จากการบริหารจัดการด้านไฟฟ้าที่ผิดพลาด ทำให้ปริมาณไฟฟ้าสำรองเกินความต้องการ การทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชน ถึงแม้ไม่ผลิตไฟฟ้าแต่ประชาชนจะต้องจ่าย ที่เรียกว่า “ค่าพร้อมจ่าย” ทำให้ประชาชนทุกคน ทุกครัวเรือน สถานประกอบการ โรงเรียน โรงพยาบาล ศาสนสถาน หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ฯลฯ ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก และควรจัดวางระบบการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าใหม่ เลิกสัญญาทาส ที่รัฐทำกับกลุ่มทุนผลิตไฟฟ้าเอกชนโดยมีประชาชนเป็นตัวประกัน

ข้อเสนอที่ติดตามจากปีก่อน ๆ

  1. รัฐต้องหยุดการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในทุกรูปแบบ และให้มีการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพ
    ในการให้บริการที่ดี มีคุณภาพ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน
    1.1. ยกเลิกนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการยกเลิกการออก พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ศ. …. ยกเลิกการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership: PPP) ให้มีการตรวจสอบโครงต่าง ๆ ทั้งเรื่องมาตรฐาน และราคา ให้มีความโปร่งใส ไม่ให้มีการทุจริต
    1.2. ให้จัดตั้งกองทุนพัฒนารัฐวิสาหกิจ เพื่อปรับปรุงพัฒนารัฐวิสาหกิจให้เป็นกลไกหลักในการพัฒนาประเทศ เป็นเครื่องมือของรัฐในการดูแลชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชน
    1.3. ให้มีการบริหารจัดการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้และการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ
  2. รัฐต้องปรับปรุงโครงสร้างทางภาษี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน เพิ่มศักยภาพการจัดเก็บภาษีเพื่อนำมาใช้เป็นงบประมาณแผ่นดิน ในการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนทุกคนทุกมิติ อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ด้วยการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีน้ำมันที่ซ้ำซ้อน รวมถึง
    งดเก็บหรือเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันให้มีความเหมาะสม และยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าอย่างจริงจัง การจัดเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นในอัตราที่ไม่น้อยจนเกินไป ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
  3. รัฐต้องปฏิรูปการประกันสังคม ดังต่อไปนี้
    3.1 รัฐต้องตั้งโรงพยาบาลประกันสังคมให้กับผู้ประกันตน ตามสัดส่วนผู้ประกันตนแต่ละพื้นที่ พร้อมกับผลิตแพทย์ พยาบาลและบุคลากรด้านอื่น ๆ ของสำนักงานประกันสังคมเอง
    3.2 สนับสนุน ส่งเสริมให้มีการจัดตั้งสถาบันการเงินของผู้ใช้แรงงาน (ธนาคารแรงงาน)
    3.3 ปฏิรูปโครงสร้างสำนักงานประกันสังคมให้เป็นอิสระ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้ผู้ประกันตนมีส่วนร่วม
    3.4 การจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมต้องเป็นไปในสัดส่วนที่เท่ากันทั้งรัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตน รวมถึงให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบพร้อมดอกเบี้ยส่วนที่ค้างให้ครบ
    3.5 ดำเนินการบริหารจัดการ ให้ผู้ประกันตน มาตรา 40 และ มาตรา 33 ได้รับสิทธิประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน
    3.6 เพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับผู้รับเงินชราภาพเป็น อัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเดือนสุดท้าย
    3.7 ขยายกรอบเวลาในการเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลของกองทุนเงินทดแทน จนสิ้นสุดการรักษาตามคำวินิจฉัยของแพทย์
  4. รัฐต้องจัดสวัสดิการถ้วนหน้าที่มีคุณภาพให้แก่ประชาชนทุกคนได้เข้าถึงอย่างเท่าเทียมโดยไม่เลือกปฏิบัติ
    4.1 ด้านสาธารณสุข ประชาชนทุกคนต้องเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและไม่มีค่าใช้จ่าย
    4.2 ด้านการศึกษา ประชาชนทุกคนต้องเข้าถึงการศึกษาในทุกระดับ ทั้งในระบบและการศึกษาทางเลือกโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
  5. รัฐบาลต้องให้สัตยาบันอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ
    5.1 ฉบับที่ 87 ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน
    5.2 ฉบับที่ 98 ว่าด้วยการปฏิบัติตามหลักการแห่งสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง เพื่อสร้างหลักประกันในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง
    5.3 ฉบับที่ 183 ว่าด้วยการคุ้มครองความเป็นมารดา
    5.4 ฉบับที่ 189 ว่าด้วยงานที่มีคุณค่าสำหรับคนทำงานบ้าน
    5.5 ฉบับที่ 190 ว่าด้วยการขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกของการทำงาน
  6. ให้ลูกจ้างทำงานบ้านเข้าถึงสิทธิประกันสังคม มาตรา 33
  7. รัฐบาลต้องยกเลิกนโยบายการจำกัดอัตรากำลังบุคลากรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และยกเลิกนโยบายการลดสิทธิประโยชน์สวัสดิการของพนักงานและครอบครัว
  8. รัฐต้องกำหนดให้ลูกจ้างภาครัฐในหน่วยงานราชการต่าง ๆ ทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นรับค่าจ้างจากงบประมาณแผ่นดิน และต้องบรรจุเป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างประจำ
  9. รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด กรณีที่นายจ้างเลิกจ้างคนงานโดยไม่จ่ายค่าชดเชย หรือจ่ายไม่ครบตามที่กฎหมายกำหนด เช่น การปิดกิจการ หรือ การยุบเลิกกิจการในทุกรูปแบบ
    (ตามรัฐธรรมนูญ หมวด 5 มาตรา 53)
  10. รัฐต้องจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงจากการลงทุน โดยให้นายจ้างจ่ายเงินเข้ากองทุนเพื่อเป็นหลักประกัน
    ในการคุ้มครองสิทธิของคนงาน เมื่อมีการเลิกจ้างหรือปิดกิจการ โดยนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย คนงานต้องได้สิทธิรับเงินจากกองทุนนี้ พร้อมทั้งสนับสนุนค่าดำเนินการทางคดีระหว่างผู้ประกอบการกับคนงาน หรือ รัฐกับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย
  11. รัฐต้องพัฒนากลไกการเข้าถึงสิทธิและการบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม
    ในการทำงานอย่างจริงจัง และต้องจัดสรรงบประมาณให้แก่สถาบันความปลอดภัยฯ ให้เพียงพอ สำหรับการบริหารจัดการเรื่องความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพ และสร้างกลไก กติกา ภายใต้การมีส่วนร่วมของคนงาน
    ทุกภาคส่วน และ ยกเลิกการใช้แร่ใยหินทุกรูปแบบ
  12. รัฐต้องยกเลิกการจ้างงานที่ไม่มั่นคง เช่น การจ้างงานแบบชั่วคราว รายวัน รายชั่วโมง เหมาค่าแรง เหมางาน
    เหมาบริการ และการจ้างงานบางช่วงเวลา ทั้งภาครัฐและเอกชน
  13. ข้อเสนอเพื่อคุ้มครองสิทธิแรงงานข้ามชาติ
    13.1 รัฐบาลต้องสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สำหรับทุกคนโดยไม่คำนึงถึงสถานะและไม่เลือกปฏิบัติต่อชาติใดชาติหนึ่งเพื่อประสิทธิภาพในการเข้าถึงการรักษาโรคและเยียวยาต่อแรงงานข้ามชาติโดยไม่เลือกปฏิบัติ
    13.2 รัฐบาลต้องให้แรงงานข้ามชาติทุกคนเข้าถึงสิทธิเงินกองทุนทดแทน เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานไม่ว่ากรณีใด
    13.3 รัฐบาลต้องให้ความช่วยเหลือเยียวยาแรงงานข้ามชาติที่เป็นผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 ให้เข้าถึงมาตรการช่วยเหลือของรัฐโดยไม่เลือกปฏิบัติและยกเลิกเงื่อนไขว่าต้องมีสัญชาติไทย
    สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเรียกร้องที่ได้ยื่นเสนอต่อ รักษาการนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลนั้น จะได้รับการตอบสนองเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนให้เป็นผลในทางปฏิบัติเพื่อให้กรรมกร ผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน ได้มีความมั่นคง มีความปลอดภัย ในการทำงาน ได้รับค่าจ้าง สวัสดิการ มีหลักประกันทางสังคม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน อย่างแท้จริงต่อไป