นักวิชาการ ระบุชัด ดิจิตัลวอลเล็ททำทุกนโยบายชะงัก รวมทั้งงบสวัสดิการเด็กเล็กไม่ถ้วนหน้า

 นักวิชาการ ระบุชัด ดิจิตัลวอลเล็ททำทุกนโยบายชะงัก  เสนอนโยบายปฏิรูปภาษี เพื่อขับเคลื่อนรัฐสวัสดิการ ด้าน กมธ.สวัสดิการสังคม บอกว่า งบประมาณเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า อยู่ที่นายกฯ ตัดสินใจ

คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า 450 องค์กร จับมือจัดเวทีสาธารณะขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า ด้านนักวิชการ ระบุ ดิจิตอลวอลเล็ททำทุกนโยบายชะงัก พร้อมเสนอปฏิรูปภาษี ในขณะที่ กมธ.สวัสดิการสังคม บอกว่า     งบประมาณเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า อยู่ที่นายกฯ ตัดสินใจ

 คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนกว่า 450 องค์กร รวมพลังผลักดัน นโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า ภายใต้งาน เวทีเสวนาสาธารณะ เด็กเท่ากัน ก้าวสู่สวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า สถานการณ์เด็กเล็ก : เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง  ระหว่างวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2567 ณ หอศิลป์กรุงเทพ  โดยในวันแรก คือวันที่ 23 กรกฎาคม เป็นการระดมสมองถอดบทเรียน การดำเนินงานของเครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า เพื่อเดินหน้าต่อไป พร้อมเป้าหมาย เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ทั้งนี้ ในวันที่ 24 กรกฎาคม ในวันนี้จะเป็นการเปิดเวทีเสวนาสาธารณะ  เด็กเท่ากัน ก้าวสู่สวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า สถานการณ์เด็กเล็ก : เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยภายในงานจะมีการเปิดตัวหนังสือ  ที่เป็นเหมือนบันทึกการเดินทาง  “ก้าวไปเพื่อสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า :เราจะไม่ทิ้งเด็กคนใดไว้ข้างหลัง”. โดย ผศ.สุนี ไชยรส ประธานคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า

จากนั้น เป็นเวทีเสวนาในหัวข้อ “ถูกทิ้ง ตกหล่น  ตีตรา เลือกปฏิบัติ เมื่อใดหนูจะได้รับการปกป้องเหมือนคนอื่น”

 นักวิชาการ ระบุ นโยบายดิจิตัลวอลเล็ททำทุกนโยบายชะงัก  เสนอนโยบายปฏิรูปภาษี เพื่อขับเคลื่อยรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า

            ดร. สมชัย จิตสุชน    สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)   กล่าวถึงนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าว่า  การที่สวัสดิการเด็กเล็กไม่ถ้วนหน้าเสียทีนั้น มาจากการไม่มีเจตจำนงค์ทางการเมืองของรัฐบาล และหนทางข้างหน้าก็ยังไม่ราบรื่น ซึ่งคำอธิบายว่า ไม่มีตังค์ก็อาจจะได้ยินดังมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ดร.สมชัย กล่าวเสริมด้วยว่า  การขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าจากภาคประชาชนเคยมีสัญญาณที่ดี แต่เมื่อรัฐบาลมีนโยบายดิจิตัลวอลเลตเข้ามา ซึ่งนโยบายดังกล่าวยังเป็นปัญหาว่าจะกู้เงินจากที่ไหน หรือต้องใช้เงินรัฐอย่างเดียว ซึ่งทำให้โยบายอื่นๆต้องชะงักทุกอย่างไปหมด และทำให้เรื่องนี้ยากมากขึ้น

          ส่วนการจะขับเคลื่อนอย่างไรนั้น ต่อไป  ดร.สมชัย กล่าวว่า การยืนยันปัญหาเด็กตกหล่นจากนโยบายนี้ยังอธิบายได้ดี   เนื่องจากมีข้อมูลชี้ชัดว่ามีการขยับฐานรายได้ในการให้เงิน ในขณะที่การตกหล่นไม่ได้ลดลง เนื่องจากการตกหล่นมาจากเงื่อนไขหลายประการ ซึ่งการตกหล่นเป็นเรื่องใหญ่มากในสังคมไทย และทำให้เด็กขาดโอกาสพัฒนาศักยภาพ   ประเด็นที่สอง นโยบายดิจิตอลวอลเลตที่ยังเป็นปัญหาอยู่ขณะนี้ จะสร้างรอยร้าวระหว่างพรรคการเมือง ทั้งนี้คณะทำงานจะต้องอ่านสถานการณ์เพื่อขยับงานต่อ เพราะพรรคการเมืองที่รับผิดชอบยังเชื่อว่า การแก้ไขปัญหาตกหล่นไม่จำเป็นต้องให้ถ้วนหน้า และประเด็นที่สาม การมีส่วนร่วมในการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปภาษี

       “ปัญหาเด็กตกหล่นเป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่เด็กคนเดียวก็ไม่ควรตกหล่นจากระบบ”

       P-Move ย้ำจุดยืนร่วมผลักดันสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า ประชาชนต้องเกาะติด ไม่เชื่อรัฐจะรักษาสัญญา

          ด้าน ธีรเนตร ไชยสุวรรณ  ประธานขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) กล่าวว่า         P-Move ผลักดันในประเด็นรัฐสวัสดิการมาควบคู่ไปกับเรื่องของทรัพยาร ซึ่งการผลักดันแก้ไขปัญหา ทรัพยากร การทวงคืนผืนป่า ทำให้ครอบครัวแตกแยก ซึ่งในองค์ประกอบของครอบครัวมีเด็กอยู่ด้วย บางครอบครัวต้องหนีคดีจากการต่อสู้เรื่องทรัพยากร และพี่น้องไทพลัดถิ่น เขาถูกกักเขตแดน และเขาก็ต้องมีที่ดินทำกิน และ P-Move ต้องติดตาม ในขณะที่พี่น้องชุมชนเมืองเครือข่ายสลัมสี่ภาค ซึ่งต้องขยายการจัดการดูแลเด็กเล็กกันเอง ที่ต้องการให้มีที่อยู่ที่กิน ที่เรียนเป็นหลักแหล่ง นอกจากนี้เป็นที่รู้กันว่าสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และต้องเตรียมรับมือกับเรื่องเหล่านี้ ทำให้เราต้องมีการติดตาม ทั้งด้านเอกสาร ไปทำเนียบ-การชุมนุม และทางรัฐสภา

             “เราเชื่อว่า เราต้องติดตามและไม่เชื่อว่ารัฐจะลุกขึ้นมาทำเอง ประชาชนต้องติดตามเพื่อให้เกิดการรักษาสัญญาและข้อเรียกร้องที่ตกลงกันไว้”

        ด้าน กมธ.สวัสดิการสังคม พูดชัด งบประมาณเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า อยู่ที่นายกฯ ตัดสินใจ

ในขณะที่ ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์  ประธานกรรมาธิการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร  กล่าวย้ำด้วยว่า หลังการเลือกตั้งมักพบกับการผิดสัญาของพรรคการเมือง หรือถูกทำให้ไม่ได้เป็นรัฐบาล สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ ได้ทำงานในกลไกคณะกรรมาธิการด้านสวัสดิการสังคม และทำเรื่องเด็กแรกเกิดกับเครือข่ายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า  และได้มานั่งย้อนทบทวนว่า วันนี้ที่สังคมไทยยังไม่มีนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า เพราะอะไร?   ทั้งที่แต่ละพรรคพูดเรื่องนี้ด้วยกันหมด แม้ตัวเลขไม่เท่ากันก็ตาม และทุกวันนี้หากไปทวงถามตามพรรคที่เป็นรัฐบาลก็จะยังไม่ได้เหมือนเดิม ขณะนี้เมื่อมีเด็กเกิดใหม่ ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับเงินอุดหนุนนี้หรือไม่  ส่วนการได้เท่ากันทุกคนนั้นแน่นอนว่ายังมีปัญหา

แนวทางที่ทำได้สำหรับปี งบประมาณ 2568  คือ  (1) การตัดงบประมาณของกรรมาธิการแต่ละเรื่อง เพื่อไปลงงบประมาณตรงกลาง จากนั้นต้องไปต่อสู้ว่าจะนำเงินจากส่วนกลางนี้มาเติมเงินอุดหนุนเด็กให้ถ้วนหน้าได้ไหม ขอเพียงส่วนต่างที่ยังขาดเพื่อการถ้วนหน้าเท่านั้น  

“ตอนนี้มีมติออกมาแล้วครับว่า จะให้เงินอุดหนุนถ้วนหน้าโดยเริ่มตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ 5 เดือน แต่ที่เหลือคือ งบประมาณกลางที่เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรีที่ต้องตัดสินใจ เราอยากขอให้เด็กได้ไหม เพื่อเริ่มสร้างทรัพยากรจากต้นทางให้มีคุณภา่พให้ดีที่สุด” 

        ประธานกรรมาธิการสวัสดิการสังคม  กล่าวต่ออีกว่า การขับเคลื่อนคต่อไปนั้น มีความสำคัญทุกจังหวะก้าว คือ  1) ขอการสนับสนุนงบประมาณจากกรรมาธิการเรื่องต่าง ๆ เพื่อมาสนับสนุนสวัสดิการเด็กเล็ก เพื่อให้เกิดกับเด็กทั้งประเทศ ในระดับนโยบาย ไม่เจาะจงกับพื้นที่ของใคร  2) ถ้าขยับตรงนี้ไปได้แล้วก็ไปถึงเรื่องการตัดสินใจของนายกฯ สำหรับการตัดสินใจใช้งบกลาง

           นอกจากนี้ สส.ณัฐชา ในฐานะประธานกมธ.สวัสดิการสังคม กล่าวอีกว่า รัฐสวัสดิการมาจากความเชื่อใจกันระหว่างประชาชน การเกิดรัฐสวัสดิการเริ่มต้นจากความเชื่อใจ จะไม่สนใจว่าจะทำอะไร เพราะคุ้มค่ามากกว่าความสูญเสีย การสร้างเกณฑ์การให้ ใช้เงินเพื่อคัดกรองความจน เป็นการแย่งเงินเด็กมาใช้  เราเอาเงิน 1% ที่รัฐควรให้ ไปมองภาพรวมของเงินรายได้ที่เขามีและจ่ายเองทั้งหมด ต้องมองการให้นี้เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตและสังคม ที่เดนมาร์กเขาให้แม่แต่คนต่างชาติที่ไปอยู่ในประเทศ เพราะการที่ใครไปอยู่ในประเทศเขา ย่อมส่งผลกระทบกับประเทศของเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  

        ดร.ษัษรัมย์ พูดชัด  เจตจำนงค์ทางการเมืองเป็นเรื่องสำคัญในการผลักดันนโยบายด้านสังคม

ทางด้าน รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี  คณะกรรมการประกันสังคม และอาจารย์ประจำ วิทยาลัยสหวิทยาการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การผลักดันนโยบายของบอร์ดประกันสังคมชุดใหม่ ที่มาจากการเลือกตั้ง การผลักดันเรื่องขยายวันลาคลอด ในกรรมาธิการวิสามัญ  ขอยืนยันว่า เจตจำนงค์ทางการเมืองสำคัญมาก การเพิ่มลาคลอด 180 วันจะใช้เงิน 3,000 ล้านบาท/ปี แต่ในวันข้างหน้ามีแนวโน้มเงินลดลง เพราะคนไม่เกิดหรือเกิดน้อย  ในฐานะตัวแทนผู้ประกันตน ยืนยันว่า การผูกเงิน 3000ล้านบาท/ปี ไม่ได้เป็นเงื่อนไขให้เงินประกันสังคมลดน้อยลงในวันข้างหน้า ฉะนั้น สิ่งสำคัญคือ การทำให้ประกันสังคมมีค่า เพราะที่ผ่านมาไม่ได้มีคนสนใจกับเรื่องประกันสังคมแล้วในตอนนี้  และเรามักกังวลว่าคนจะนำเงินไปใช้ไม่มีประสิทธิภาพ ภายใต้การให้ที่น้อยมาก การได้รับเงินอย่างไม่มีเงื่อนไข สิ่งแรกที่คนจะใช้เงินคือ การนำเงินไปใช้พยุงชีวิตคนที่สำคัญ

 ทั้งนี้  สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ การฟังนักเศรษฐศาสตร์น้อยลง เพราะนักเศรษฐศาสตร์ไม่ได้คำนวนคุณค่าและศักดิ์ศรีคนเป็นแม่ (แรงงานหญิง) เราจะยังเห็นแม่ขโมยนมใน 7-11 แล้วชีวิตของเด็กอีก 20 ปีจะเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่นักเศรษฐไม่ได้คำนวนออกมาในมิติของการยืนยันศักดิ์ศรีและคุณค่าในชีวิตของคน 

          `     สว.แล ดิลกวิทยารัตน์ ระบุ รัฐต้องปรับแนวคิดเด็กคือผู้ใหญ่ตัวเล็ก เพื่อเด็กจะไม่ตกหล่น

ส่วนศาสตราภิชานแล ดิลกวิทยรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า กฎหมายประกันสังคม เราพูดถึงประกันทั้งสังคม แต่เรามีกฎหมายที่ประกันเฉพาะลูกจ้าง หน้าที่รัฐ ต้องทำกฎหมายประกันสังคมให้มันสมชื่อ คือ ประกันสังคมสำหรับทุกคนในสังคมต้องมีหลักประกัน ทุกวันนี้ กฎหมายประกันสังคมยังไม่ถูกหลักการ  ที่ผ่านมา เป็นการออกเงินสมทบแต่เมื่อมีคนตกงาน เราเสียเงินประกันสังคมมากกว่าตอนมีนายจ้างและหลุดไปจากการคุ้มครองของประกันสังคม การเริ่มต้นจึงต้องขยายกลุ่มคนให้เข้าถึงสวัสดิการสังคมให้ครอบคลุมทุกกลุ่มคน แทนที่จะไปปลูกต้นใหม่

                 อ.แล ยังตั้งคำถามด้วยว่า  รัฐตีตราเด็กว่าอย่างไร ถ้าคิดต่อเด็กแบบใดก็จะปฎิบัติต่อเด็กแบบนั้น  ซึ่งเรื่องนี้เป็นทั้งวัฒนธรรมที่ใหญ่มาก ยกตัวอย่าง พ่อแม่ไม่เคยขอโทษลูกเมื่อทำผิด เพราะลูกเป็นเด็ก ไม่มีตัวตน และไม่ใช่เราเลี้ยงลูกเพื่อให้ลูกเลี้ยงเรา มันทำให้สังคมมองว่า เด็กไม่เท่ากับผู้ใหญ่ และการจัดสวัสดิการก็เป็นการให้ของรัฐ แต่มีแนวคิดหนึ่ง เด็กคือ ผู้ใหญ่ตัวเล็ก ถ้ามองแบบนี้เขาจะไม่ตกหล่น หรือหายไป เพราะมองเห็นเด็กมีตัวตน เพราะเด็กเท่ากัน

หลังจบเวทีเสวนา  เครือข่ายคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนกว่า 400 องค์กร พร้อมด้วยองค์กรร่วมจัด ร่วมกันประกาศ”ปฏิญญาหอศิลป กรุงเทพมหานคร เพื่อสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า” โดยมีเนื้อหาดังนี้

ปฏิญญาหอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร
จากสถานการณ์เด็กและครอบครัวของสังคมไทยในปัจจุบัน องค์กรภาคีเครือข่ายประชาชนขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน 450 องค์กร และภาคีเครือข่ายภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และภาคการเมือง พิจารณาเห็นว่า วิกฤติปัญหาของเด็กและครอบครัวกำลังรุนแรงขึ้น แม้ประชากรเด็กจะเกิดน้อย แต่ความเหลื่อมล้ำที่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวกลับสูงขึ้น อาทิ ปัญหาครอบครัวแหว่งกลาง การละเมิดสิทธิเด็ก การเข้าไม่ถึงสิทธิบริการขั้นพื้นฐานของเด็ก ครอบครัวชายขอบไร้สัญชาติ เราได้ตระหนักว่า เด็กยังคงถูกทิ้งไว้ข้างหลังจำนวนมาก
ทั้งที่ประเทศไทยได้รับรองและลงนามเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เมื่อวันที่12 กุมภาพันธ์ 2535 เพื่อเป็นหลักการสำคัญของการปกป้อง คุ้มครองสิทธิเด็ก ให้พร้อมก้าวไปสู่การพัฒนาและสร้างการมีส่วนร่วมของการเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของชาติ และรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ได้บัญญัติรับรองสิทธิของมารดา ก่อน ระหว่าง และหลังคลอด ไว้ชัดเจน
เราทุกคน ทุกองค์กร ณ ที่นี้ จึงขอประกาศ”ปฏิญญาหอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร” เพื่อสานพลังยืนยัน ด้วยความเชื่อมั่นต่อความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมกันสร้างระบบการจัดสวัสดิการเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมที่ยุติธรรมและเสมอภาคสำหรับเด็กทุกคน เรา ซึ่งเป็นผู้แทนเครือข่ายประชาชน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ หน่วยงานภาครัฐ ณ ที่นี้ จึงขอให้คำมั่นว่า

  1. ดูแลเด็กเล็กทุกคน เราจะร่วมกันจัดหาทรัพยากรและโอกาสที่เท่าเทียมให้แก่เด็กทุกคน เพื่อให้พวกเขาได้รับสิทธิระบบสวัสดิการและการดูแลที่มีคุณภาพตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ลดข้อจำกัดเพื่อให้เด็กเล็กทุกคนได้รับการสนับสนุนการดูแลและพัฒนาการเรียนรู้ รวมทั้งเด็กพิเศษที่ควรจะได้รับสิทธิการพัฒนาที่สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพทางกาย และจิตใจ
  2. ปกป้องสิทธิเด็ก เราจะดำเนินการตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับการปกป้องจากความรุนแรง การแสวงหาประโยชน์ และการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบ
  3. ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของเด็ก เราจะสนับสนุนการให้บริการและการพัฒนาด้านสุขภาวะที่ครอบคลุมและเข้าถึงง่าย เพื่อให้เด็กทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรงและเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์
  4. สร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาการเด็ก เราจะร่วมมือกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก โดยเน้นการสร้างพื้นที่ที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมเพื่อการเรียนรู้อย่างเต็มที่
  5. เสริมสร้างครอบครัวและชุมชน ส่งเสริมความร่วมมือและการมีส่วนร่วมอย่างแน่นแฟ้นระหว่างภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสิทธิและความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กทุกคน
  6. ประเมินและพัฒนา เราจะดำเนินการประเมินผลและปรับปรุงนโยบายและมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการของเด็กและครอบครัว
    เรา ผู้แทนจากภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาควิชาการ ภาคการเมือง และภาคประชาสังคม ขอให้คำมั่นที่จะทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสและยั่งยืนสำหรับเด็กทุกคน โดยไม่ทิ้งเด็กคนใดไว้ข้างหลัง และเราจะร่วมมือกันในทุกระดับเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กทุกคนได้รับการดูแลและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ มีโอกาสเติบโตและพัฒนาทักษะชีวิตเพื่อโลกยุคใหม่อย่างเต็มศักยภาพ
    ด้วยพลังเครือข่าย และความชอบธรรม ก้าวรุกร่วมกันต่อไปสู่สวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า นี่คือความท้าทายของสังคมไทย ที่ต้องไปให้ถึงนโยบายและปฏิบัติการ”เด็กเท่ากัน ;สวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า”
    ประกาศ ณ หอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร
    วันที่ 24 กรกฎาคม 2567

        ในเวลา 13.30 น. เป็นการเสวนาในประเด็นสำคัญ ของการผลักดันนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า เรื่อง “กระจายอำนาจกับสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า”

รศ.ดร.วิระศักดิ์ ฮาดดา นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบล

คุณสมบัติ ชูเถื่อน ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านสาธารณสุข สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย

คุณธานินทร์ ริ้วธงชัย รองเลขาธิการสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย

คุณกุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ          ผู้อำนวยการมูลนิธิคณะก้าวหน้า

ผู้ดำเนินรายการ  ผศ.สุนี ไชยรส   ประธานคณะทำงานฯ