หลังจากที่รัฐบาลปรับค่าแรงขั้นต่ำให้กับคนงานไปแล้วนั้นผลที่ตามมาค่าของแพงเหมือนแพงมาก ทำให้คนงานพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันบอกว่า ถ้าปรับแล้วเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ต้องปรับซะดีกว่า
นางสายน้ำผึ้ง บุตรสะสม กล่าวว่า ตนเองอายุ 30 ปี มีบุตร 2 คน คนโตเรียนหนังสืออยู่ ป. 5 คนเล็ก ป. 1 ทำงานเป็นพนักงานประจำอยู่บริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี ผลิตสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ ทำงานมา 5 ปี ปัจจุบันได้รับค่าแรงเดือนละ 9,000 บาท ซึ่งก็ยังมีรายจ่ายที่รออยู่ ค่าน้ำ,ค่าไฟ, ค่าอาหารในแต่ละมื้อตกวันหนึ่งประมาณ 400 กว่าบาท ผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เดือนละ ประมาณ 3,000 บาทมาเดือนนี้ซึ่งเป็นเดือนที่โรงเรียนเปิดเทอม ต้องมีค่าใช้จ่ายสูงมากเพราะลูกเรียนหนังสือทั้งสองคน ตนเองก็ยังคิดๆ อยู่ว่าจะไปหากู้ยืมที่ไหนที่จะพอใช้ในเดือนนี้ ในส่วนเงินเดือนของสามีก็ต้องส่งงวดรถยนต์อีก เงินเดือนสามีก็ค่าแรงขั้นต่ำเหมือนกัน ทุกวันนี้เงินเดือนแต่ละเดือนก็ยังไม่พอตนเองก็หารายได้พิเศษรับจ้างซักผ้าบ้างทั้งๆที่ตนเองก็ทำงานเข้ากะด้วยวันๆหนึ่งได้พักผ่อนประมาณ 3-4 ชั่วโมง
นางสายน้ำผึ้ง บุตรสะสม กล่าวต่อว่า ตนเองหวังลึกๆว่า เงินปรับค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งปรับมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาตนเองคงจะมีเงินพอที่จะเก็บแน่นอน แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ตนเองได้คิดไว้ เมื่อค่าแรงขั้นต่ำถูกปรับในวันที่ 1 เม.ย. 55 ตามประกาศรัฐบาล ราคาของแพงขึ้นทันควัน น้ำมันรถขึ้นทันที สินค้าบางตัวจ่อรอที่จะขึ้น ในแต่ละวันเดินตลาดชื้อกับข้าวขณะนี้ 400 บาทแทบไม่ได้อะไรเลย ผัก เนื้อหมู ไข่ คืออาหารหลักขึ้นทุกรายการ แล้วคนงานจะอยู่อย่างไร ขึ้นค่าแรงแล้วก็เห็นควรจะควบคุมราคาสินค้าให้ด้วยท่านรัฐบาล แล้วจังหวัดอื่นที่ค่าแรงไม่ปรับแต่ราคาสินค้าก็ขึ้นเหมือนกันจะทำอย่างไร ปัญหานี้ท่าน
สุดท้ายก็ขอฝาก ให้รัฐบาลช่วยดูแลคนงานหรือประชาชนอย่างจริงใจด้วย เกิดปัญหาขึ้นไม่ใช่ไปแก้ที่ปลายเหตุให้แก้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเยียวยาด้วยการให้แม่ค้าขายอาหารในราคาถูก จานละ 5 บาท 10 บาท แล้วเป็นข่าว ตามจังหวัดนั่นจังหวัดนี่ เพราะหนึ่งคะแนนเสียงก็มาจากประชาชน
รายงานโดย สวรรยา ผดาวัลย์ นักสื่อสารแรงงานศูนย์พื้นที่สระบุรี