โดย บัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ /230355
ข้อมูล ณ สิ้นปี 2554 พบว่า มีแรงงานต่างด้าวที่พิสูจน์สัญชาติและได้รับพาสปอร์ตกับใบอนุญาตทำงานแล้ว 505,238 คน นำเข้าตาม MOU อีก 72,356 คน และอยู่ระหว่างผ่อนผันอนุญาตให้ทำงานเพื่อรอพิสูจน์สัญชาติอีกราว 1,248,064 คน เมื่อเปรียบเทียบเป็นสัดส่วนจะพบว่า อัตราการใช้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติต่อจำนวนผู้มีงานทำทั้งหมดจะอยู่ที่ 4.04% หรือทุก 100 คนจะเป็นแรงงานสัญชาติพม่า ลาว กัมพูชา ประมาณ 4 คน(1)
แรงงานต่างด้าวหรือแรงงานข้ามชาติที่หลบหนีเข้าเมืองสัญชาติ พม่า กัมพูชา และลาวที่มีเอกสารแสดงตัวและใบอนุญาตทำงานที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ จะเปลี่ยนสถานะเป็นผู้เข้าเมืองถูกต้องตามกฎหมาย ผลที่ตามมา คือ นายจ้างมีหน้าที่ต้องแจ้งขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติที่พิสูจน์สัญชาติแล้วเป็นลูกจ้างตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 และเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ภายใน 30 วันที่ลูกจ้างนั้นมีหลักฐานครบถ้วน ได้แก่
1. ใบอนุญาตทำงาน (Work Permit)
2. หนังสือเดินทาง (Passport) หรือเอกสารแสดงตัวแทนหนังสือเดินทาง
ตามประกาศสำนักงานประกันสังคมเรื่อง การขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวสัญชาติลาว กัมพูชาและพม่าที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติลงวันที่ 8 ตุลาคม 2553 กำหนดว่าจะยกเว้นไม่ขึ้นทะเบียนกรณีเป็นลูกจ้างของกิจการดังนี้
1. กิจการเพาะปลูก ประมง ป่าไม้และเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมิได้ใช้ลูกจ้างตลอดปีและไม่มีงานลักษณะอื่นรวมอยู่ด้วย
2. กิจการนายจ้างจ้างลูกจ้างไว้เพิ่งทำงานอันมีลักษณะครั้งคราว เป็นการจร หรืองานตามฤดูกาล
3. นายจ้างที่เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งงานที่ลูกจ้างทำนั้นมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย
4. เป็นลูกจ้างที่ประกอบการค้าเร่ หรือ แผงลอย
5. เป็นลูกจ้างที่ทำงานเกี่ยวกับงานบ้านอันมิได้ประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย
แรงงานต่างด้าวที่ประกอบอาชีพอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมและงานก่อสร้างที่ได้รับการพิสูจน์สัญชาติเรียบร้อยแล้ว จะเข้าสู่ระบบประกันสังคมเช่นเดียวกับแรงงานคนไทย และไม่ต้องทำประกันสุขภาพ
ส่วนแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรมและงานก่อสร้าง เช่นอาชีพคนรับใช้ในบ้าน หรืองานเกษตรกรรมและแรงงานที่ยื่นขอพิสูจน์สัญชาติแล้วแต่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์สัญชาติจากประเทศต้นทาง จึงต้องขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานอยู่เช่นเดิมโดยต้องได้รับการตรวจสุขภาพและทำประกันสุขภาพกับกระทรวงสาธารณสุขก่อนที่จะต่อใบอนุญาตทำงาน(2)
นโยบายรัฐบาล
คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 มีข้อความน่าพิจารณา ดังนี้
นโยบายความมั่นคงแห่งรัฐข้อ 2.5 ว่า
เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติด องค์กรอาชญากรรมการค้ามนุษย์ ผู้หลบหนีเข้าเมือง แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายและบุคคลที่ไม่มีสถานะชัดเจน โดยการปรับปรุงระบบป้องกันและบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างเข้มงวด ดูแลความเป็นธรรมและเฝ้าระวังไม่ให้เกิดปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคง และความสงบสุขภายในประเทศ ควบคู่ไปกับการจัดการแก้ไขสถานะและสิทธิของบุคคล ภายใต้ความสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงของชาติกับการดูแลสิทธิขั้นพื้นฐาน
นโยบายความมั่นคงของชีวิตและสังคม ข้อ 4.5.2 ระบุว่า
“สร้างหลักประกันความมั่นคงในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกรูปแบบ ปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไป …………………………”
นโยบายแรงงาน ข้อ 4.2.7
“กำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการควบคุมการเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าว โดยคำนึงถึงความต้องการแรงงานของภาคเอกชนและการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายในประเทศ”
เลือกปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน
มุ่งให้นายจ้างซื้อประกันภัยเอกชน ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทน
พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537
กองทุนเงินทดแทนจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 เพื่อจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างแทนนายจ้างเมื่อลูกจ้างประสบอันตราย เจ็บป่วยถึงแก่ความตาย หรือสูญหายเนื่องจากการทำงานหรือป้องกันรักษาผลประโยชน์ให้นายจ้าง โดยไม่คำนึงถึงวัน เวลา และ สถานที่ แต่จะดูสาเหตุที่ทำให้ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย
นายจ้างเป็นผู้มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนเพียงฝ่ายเดียว ปีละ 1 ครั้ง และเมื่อลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้างแล้วเกิดประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดจากการทำงาน ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิจะได้รับเงินทดแทน ซึ่งประกอบด้วย ค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนรายเดือนแล้วแต่กรณี ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานและค่าทำศพ
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 13 เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษาพยาบาลทันทีตามความเหมาะสมแก่อันตรายหรือความเจ็บป่วยนั้น และให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นแต่ไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
ให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามวรรคหนึ่งโดยไม่ชักช้าเมื่อฝ่ายลูกจ้างแจ้งให้นายจ้างทราบ
มาตรา 15 กรณีที่ลูกจ้างจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานภายหลังการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจ่ายค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานของลูกจ้างตามความจำเป็นตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 18 เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยหรือสูญหาย ให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทนเป็นรายเดือนให้แก่ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 แล้วแต่กรณี
แนวปฏิบัติตามหนังสือสำนักงานประกันสังคมที่รส.1711/ว751 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2544 ส่งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดและสำนักงานประกันสังคมทั้งประเทศ กำหนดว่า
1. แรงงานต่างด้าวที่มาทำงานเป็นลูกจ้างในประเทศไทย มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537
2. กรณีที่แรงงานต่างด้าวจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนต้องมีหลักฐานดังนี้
2.1 มีการจดทะเบียนและมีใบอนุญาตให้ทำงาน (Work Permit) ที่ทางราชการออกให้มาแสดงประกอบกับหนังสือเดินทาง (Passport) หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
2.2 นายจ้างจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนในอัตราไม่ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ ทั้งนี้แรงงานต่างด้าวที่จดทะเบียนต้องยื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับประเทศไทย
3. กรณีแรงงานต่างด้าวที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง แต่ไม่มีหลักฐานตามข้อ 2 มาแสดง นายจ้างต้องเป็นผู้รับผิตชอบจ่ายเงินทดแทนตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินทดแทน พ.ศ.2537 ให้แก่ลูกจ้างเอง
มติคณะรัฐมนตรี (นรม.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) วันที่ 14 มิถุนายน 2554 เห็นชอบเรื่องการคุ้มครองแรงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและได้รับอนุญาตทำงานตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ มีสาระสำคัญคือ ให้บริษัทประกันภัยเอกชนเข้ามาดำเนินการให้แรงงานต่างด้าวได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครองเหมือนกับระบบกองทุนเงินทดแทน ดังนี้
1. การกำหนดสิทธิประโยชน์
ให้มีการคุ้มครองแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่จดทะเบียนผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและได้รับอนุญาตให้ทำงาน ที่ประสบอันตรายจากการทำงาน โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนกองทุนเงินทดแทนที่ให้กับคนไทยทุกประการ
2. การบังคับใช้
ใช้กับแรงงานต่างด้าวหลบหนเข้าเมืองที่จดทะเบียนผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและได้รับอนุญาตให้ทำงาน
3. วิธีการดำเนินการ
ใช้วิธีการประกันภัยโดยให้บริษัทประกันภัยเอกชนดำเนินการโดยให้นายจ้างซื้อประกันให้แก่แรงงานต่างด้าวกับบริษัทประกันภัย และนำมาแสดงในการรับใบอนุญาตทำงาน และให้สำนักงานประกันสังคมเป็นผู้วินิจฉัยเกี่ยวกับค่าทดแทนโดยการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ให้กับบริษัทประกันภัยเป็นผู้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้มีสิทธิ
4. อัตราค่าเบี้ยประกัน
ให้นายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบในการจ่ายค่าเบี้ยประกันให้แก่แรงงานด่างด้าวเพราะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เพื่อให้การคุ้มครองลูกจ้างกรณีประสบอันตรายจากการทำงาน ส่วนอัตราค่าเบี้ยประกันให้กำหนดเป็นจำนวนเงินต่อคนต่อปีในอัตราเดียวกันทั่วประเทศ
5. การคัดเลือกบริษัทประกันภัย
เห็นควรให้กำหนดคุณสมบัติบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการโดยคำนึงถึงความมั่นคงแก่ผู้รับประกันและมีจำนวนไม่มากรายเกินไป เพื่อให้มีจำนวนผู้เอาประกันมากเพียงพอต่อการกระจายความเสี่ยง
แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่ได้รับการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรียังไม่สามารถเข้าสู่ระบบกองทุนประกันสังคมได้ ต้องเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะได้รับการรักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยทั่วไป หากประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน สำนักงานประกันสังคมจะวินิจฉัยและออกคำสั่งให้นายจ้างของคนต่างด้าวเป็นผู้จ่ายเงินทดแทนโดยตรงให้กับคนต่างด้าว
แรงงานข้ามชาติกับการเข้าไม่ถึงกองทุนประกันสังคม
เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย เรื่อง สถานการณ์และข้อเสนอแรงงานข้ามชาติกับปฏิรูปประกันสังคมในระบบที่เหมาะสมเสนอในงานสมัชชาปฏิรูปประกันสังคมเมื่อต้นเดือนปี 2554 มีข้อสรุปว่า (3)
กฎหมายประกันสังคมเป็นการออกแบบการประกันสังคมระยะยาว สำหรับผู้ประกันตนที่เป็นคนไทย โดยไม่ได้คำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงตามข้อจำกัดของผู้ประกันตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานย้ายถิ่นข้ามชาติที่มีข้อจำกัดอยู่อาศัยได้เพียงแค่ไม่เกิน 4 ปีในประเทศไทยและนายจ้างต้องไม่ยึดหนังสือเดินทางและบัตรประกันสังคม เพื่อให้แรงงานเข้าถึงระบบบริการสุขภาพได้จริง
การเข้าไม่ถึงประโยชน์ทดแทนตามกฎหมายประกันสังคม 7 กรณีของแรงงานข้ามชาติ สรุปได้ดังนี้
ประโยชน์ทดแทน |
ข้อสังเกต |
---|---|
1. กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน |
ผู้ประกันตนไม่ว่าสัญชาติใดควรเข้าถึงการรักษาพยาบาลโดยทันที ไม่ต้องมีเงื่อนเวลากำกับว่า ต้องส่งเงินสมทบมาแล้ว 3 เดือน เพราะสิทธิสุขภาพเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ทุกคนต้องได้รับการรักษาพยาบาลทันทีและมีคุณภาพมาตรฐาน |
2. กรณีคลอดบุตร |
แรงงานข้ามชาติที่มีทะเบียนสมรสจากประเทศต้นทาง ย่อมเข้าถึงนี้ได้และการอยู่กินฉันท์สามีภรรยา โดยเปิดเผยมิได้จดทะเบียนสมรส ย่อมเข้าถึงสิทธินี้ได้เช่นกัน |
3. กรณีทุพพลภาพ |
แรงงานข้ามชาติจะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตลอดชีวิตได้อย่างไร ? หากโอนเข้าบัญชีธนาคาร คนที่เข้าไม่ถึงบริการเงินฝากหรือธนาคารจะมีวิธีจัดการอย่างไร ? เพราะที่มาของแรงงานข้ามชาติบางคนมาจากท้องถิ่นห่างไกล หรือบนพื้นที่สูง เป็นต้น |
4. กรณีตาย |
1. ทายาทของแรงงานข้ามชาติจะเข้าถึงเงินสงเคราะห์ตามระยะเวลาการที่ส่งเงินสมทบได้อย่างไร ? โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่พิสูจน์สัญชาติผ่านระบบนายหน้า 2. แรงงานข้ามชาติอยู่ในประเทศไทยได้แค่ 4 ปี มีโอกาสได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 1 เดือนครึ่ง เพราะทำงานส่งเงินสมทบได้ตั้งแต่ 3 ปีไม่ถึง 10 ปีแน่นอน |
5. กรณีสงเคราะห์บุตร |
แรงงานข้ามชาติอยู่ในประเทศไทยได้แค่ 4 ปี แต่บุตรมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์จนถึง 6 ปี เมื่อต้องสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน แรงงานข้ามชาติจะมีสิทธิรับเงินสงเคราะห์บุตรต่อเนื่องได้หรือไม่ ? ถ้าต้องเดินทางกลับประเทศต้นทาง |
6. กรณีชราภาพ |
เงื่อนไขที่แรงงานจะได้บำนาญชราภาพต้องเข้า 3 องค์ประกอบ คือ (1) ส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 180 เดือนหรือ 15 ปี (2) อายุขั้นต่ำ 55 ปีและ (3) ออกจากงาน ปัญหาคือ แรงงานข้ามชาติทำงานได้แค่ 4 ปีและต้องออกจากงานจะได้บำเหน็จชราภาพเท่านั้นโดยต้องรอถึงอายุ 55 ปี จะมีแรงงานกี่คนที่จะได้รับบำเหน็จ ? |
7. กรณีว่างงาน |
แรงงานข้ามชาติที่สิ้นสุดการเป็นลูกจ้าง ต้องถูกส่งกลับประเทศต้นทาง หรือต้องหานายจ้างใหม่ให้ได้ภายใน 7-15 วันถ้านายจ้างเลิกจ้างเพราะไม่ใช่ความผิดของลูกจ้าง แรงงานจะเข้าถึงบริการจัดหางาน การพัฒนาฝีมือแรงงาน หรือเงินทดแทนการขาดรายได้ได้อย่างไร ? ถ้าต้องรีบหานายจ้างใหม่โดยเร็วหรือต้องถูกส่งกลับ |
8. ประโยชน์ทดแทนต่อเนื่อง 6 เดือนภายหลังสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง |
แรงงานข้ามชาติเมื่อสิ้นสุดการจ้างไม่เกิน 4 ปีต้องถูกส่งกลับประเทศต้นทางไม่มีทางใช้สิทธิประโยชน์ต่อเนื่องเหมือนแรงงานไทยได้ |
ข้อเสนอ
(1) ทบทวนอัตราเงินสมทบและประโยชน์ทดแทนที่เหมาะสมกับการจ้างแรงงานข้ามชาติ จัดตั้งกองทุนการออมของแรงงานข้ามชาติ
เพราะมีข้อจำกัดระยะเวลาการจ้างในประเทศไทยไม่เกิน 4 ปีตามข้อตกลงทวิภาคีความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับพม่า ลาว และกัมพูชา (MOU) และควรทบทวนการคุ้มครองประโยชน์ทดแทน 7 กรณี โดยเฉพาะประกันชราภาพและประกันการว่างงาน
ข้อเสนอคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกประกาศกฎกระทรวงตั้งกองทุนการออมแรงงานข้ามชาติ โดยนำเงินสมทบจาก 2 กรณีดังกล่าวมาตั้งกองทุนฯ
(2) แรงงานข้ามชาติที่เข้าเมืองถูกต้องกฎหมาย ต้องได้รับการคุ้มครองตามระบบกฎหมายประกันสังคมเท่านั้น ไม่ใช่ให้ระบบประกันสังคมภัยเอกชนดูแล เพราะจะทำให้แรงงานข้ามชาติถูกขูดรีดเอาเปรียบมากขึ้น
(3) จัดให้มีสายด่วนประกันสังคมและสิ่งสื่อรณรงค์ที่เป็นภาษาของแรงงานข้ามชาติ มีล่าม และสถานที่อำนวยความสะดวกที่แรงงานข้ามชาติเข้าถึง ขอความช่วยเหลือได้จริง เผยแพร่เรื่องประกันสังคมเป็นภาษาแรงงานเหมือนเช่นที่รณรงค์ให้ไปพิสูจน์สัญชาติในสื่อหนังสือพิมพ์กระแสหลัก
สาระสำคัญ
บันทึก MOU (Memorandum of Understanding) ระหว่างไทยกับพม่า ลาว กัมพูชา
รัฐบาลไทยได้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจ้างงาน (MOU) กับรัฐบาลลาวเมื่อเดือนตุลาคม 2545 ไทยกับกัมพูชา เมื่อพฤษภาคม 2546 และไทยกับพม่าเมื่อมิถุนายน 2546 เพื่อให้เกิดการจัดระบบสู่การจ้างแรงงานตามกฎหมายระหว่างรัฐต่อรัฐ สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจ สรุปได้ดังนี้
วัตถุประสงค์และขอบเขต
กำหนดให้ภาคีจะดำเนินมาตรการที่จำเป็นทั้งปวงเพื่อให้มี 4 ประการ คือ
1) ขั้นตอนการดำเนินการที่เหมาะสมในการจ้างแรงงาน
2) มาตรการที่มีประสิทธิภาพในการส่งกลับแรงงานที่ครบวาระการจ้างหรือเงื่อนไขการจ้างสิ้นสุดลง หรือถูกเนรเทศโดยเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งไปยังภูมิลำเนาเดิม
3) การคุ้มครองอันสมควรแก่แรงงานทั้งสองฝ่าย
4) การป้องกันและปราบปรามการข้ามแดนผิดกฎหมาย การค้าแรงงานผิดกฎหมาย และการจ้างงานผิดกฎหมาย
ระยะเวลาการจ้างงาน จะกำหนดไม่เกิน 2 ปี หากจำเป็นอาจอนุญาตให้ทำงานต่อไปอีก 2 ปี ไม่ว่ากรณีใด ระยะเวลาการจ้างงานของแต่ละคนจะไม่เกิน 4 ปี
แรงงานซึ่งสิ้นสุดวาระการจ้างแล้ว จะสมัครเข้าทำงานใหม่ได้เมื่อได้เว้นระยะ 3 ปีภายหลังสิ้นสุดการจ้างงานครั้งก่อน
หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจะร่วมมือกันกำหนดขั้นตอนหลักเกณฑ์ดำเนินการสำหรับแรงงานที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องในเรื่องต่อไปนี้
1) การตรวจลงตรา หรือการอนุญาตให้เข้าเมืองในรูปแบบอื่น
2) ใบอนุญาตทำงาน
3) การประกันสุขภาพ หรือบริการด้านสุขภาพ
4) การชำระเงินเข้ากองทุนสะสมตามที่หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ของแต่ละประเทศกำหนด
5) ภาษีหรืออื่นๆตามที่ภาคีกำหนด
สาระสำคัญ
อนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 97 ว่าด้วยการอพยพเพื่อการมีงานทำ (แก้ไข) พ.ศ.2492 (Convention concerning Migration for Employment (Revised) 1949)
และ
อนุสัญญาฉบับที่ 143 ว่าด้วยการอพยพในสภาพที่ถูกกดขี่และการส่งเสริมการมีโอกาสเท่าเทียมและการปฏิบัติต่อคนงานอพยพ พ.ศ. 2518 (Convention concerning Migration in Abusive Conditions and the Promotion of Equality of Opportunity and Treatment of Migrant Workers 1975)
อนุสัญญา ILO ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ประเทศไทยยังไม่ให้สัตตาบัน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรฐานการคุ้มครองแรงานย้ายถิ่นหรือข้ามชาติ โดยครอบคลุมถึงก่อนเดินทาง (ประเทศต้นทางหรือผู้ส่ง) ในระหว่างทำงานและการส่งตัวกลับ (ประเทศผู้รับ) สรุปได้ดังนี้ä
1. ค่าตอบแทน
ð ควรทัดเทียมกับค่าตอบดทนที่แรงงานของประเทศได้รับ และสามารถมีผู้แทนเข้าร่วมในการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำได้ ถ้าหากมีการจ่ายค่าตอบแทนเป็นค่าจ้างและสวัสดิการอื่นๆ เช่นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม โดยหักออกจากค่าจ้าง เจ้าหน้าที่ของรัฐพึงตรวจสอบว่าสัดส่วนระหว่างค่าจ้างและสวัสดิการนั้นเหมาะสม และเงื่อนไขอื่นในการจ้างงานเช่นจำนวนวันลา ชั่วโมงการทำงาน ฯลฯ เป็นไปตามกฎหมายแรงงานของประเทศ
2. สภาพการทำงาน
ð ควรเป็นไปตามมาตรฐานของประเทศที่คุ้มครองแรงงานของประเทศ
3. ความมั่นคงในงาน
ð ควรเป็นไปตามมาตรฐานของประเทศที่คุ้มครองแรงงานของประเทศ
4. ความก้าวหน้าในการทำงาน
ð แรงงานข้ามชาติพึงมีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งเช่นเดียวกันที่แรงงานของประเทศได้รับ
5. สุขอนามัยและความปลอดภัย
ð แรงงานข้ามชาติมีความต้องการพิเศษเกี่ยวกับสุขอนามัยและความปลอดภัย ดังนั้นจึงควรมีมาตรการพิเศษสำหรับคุ้มครองพวกเขาจากโรคภัยไข้เจ็บและรวมถึงภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อมใหม่ ควรมีการจัดการอบรมด้านอาชีวอนามัยและให้ความรู้เกี่ยวกับระบบระวังภัยในที่ทำงานให้กับแรงงานข้ามชาติเป็นพิเศษ
6. สิทธิด้านสหภาพแรงงาน
ð อนุสัญญาฉบับที่ 87 และ 98 ประกันสิทธินี้ให้กับผู้ทำงานทุกคน แม้ว่าประเทศนั้นจะไม่ได้ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาทั้งสองก็ตาม แรงงานข้ามชาติพึงมีสิทธิเช่นเดียวกับแรงงานของประเทศ โดยเฉพาะสิทธิในการต่อรองร่วม เลือกผู้แทนของตน ใช้กลไกการไกล่เกลี่ยพิพาทแรงงาน และได้รับการหารือจากฝ่ายบริหารในสถานประกอบการเรื่องที่มีผลต่อสภาพการทำงานและเงื่อนไขการจ้างงาน
7. การเข้าถึงศาลยุติธรรม
ð แรงงานข้ามชาติต้องสามารถเข้าถึงกลไกศาลยุติธรรมได้เช่นเดียวกับแรงงานของประเทศ เมื่อเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมเกี่ยวกับสภาพการทำงาน สิทธิด้านสหภาพแรงงานและความมั่นคงทางสังคม
8. การเข้าถึงการจ้างงานและการฝึกฝีมือ
ð แรงงานข้ามชาติที่มีคุณสมบัติเหมาะสมพึงได้รับการจ้างงานใดๆ ก็ได้ และแรงงานเหล่านี้ควรเข้าถึงการฝึกฝีมือแรงงานเช่นเดียวกับแรงงานของประเทศ อย่างไรก็ตามรัฐบาลสามารถกำหนดเงื่อนไขให้แรงานข้ามชาติต้องอยู่ทำงานในงานหนึ่งๆ ครบสองปีก่อนจึงสามารถเลือกไปทำงานอื่นได้ และรัฐบาลสามารถกำหนดห้ามการจ้างงานแรงงานข้ามชาติในงานที่รัฐเห็นว่าการสงวนสิทธินั้นจำเป็น เช่น การรับราชการ
9. เสรีภาพการเดินทาง
ð แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในประเทศอย่างถูกกฎหมาย ควรมีเสรีภาพจะเดินทางไปในที่ต่างๆ ภายในประเทศที่ตนทำงานอยู่ จะยกเว้นแต่เฉพาะสถานที่ที่จำกัดสิทธิของแรงงานของประเทศเช่นกัน
10. การส่งเงินกลับบ้าน
ð แรงงานข้ามชาติพึงมีสิทธิที่จะส่งเงินกลับบ้าน (ภายในจำนวนที่กฎหมายอนุญาต) และเก็บเงินได้
11. การเยี่ยมบ้านและครอบครัวมาเยี่ยม
ð มาตรฐานแรงงานสากลแนะนำให้รัฐบาลพิจารณากำหนดสิทธิที่เหมาะสม ในระหว่างพักผ่อนประจำปีแรงงานข้ามชาติควรได้รับอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมบ้านได้หลังจากที่ทำงานครบหนึ่งปีแล้ว และในกรณีที่ไม่มีครอบครัวติดตามมา ควรอนุญาตให้ครอบครัวเข้าประเทศมาเยี่ยมได้
12. บริการให้คำปรึกษาต่างๆ
ð เพื่อช่วยแรงงานข้ามชาติปรับตัว หน่วยงานของรัฐพึงจัดให้มีบริการให้คำแนะนำแก่แรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะในเรื่องการดำรงชีวิต การได้รับสวัสดิการต่างๆ โดยที่หน่วยงานให้คำปรึกษาเล่านี้ จัดให้บริการโดยบุคคลที่สามารถสื่อสารในภาษาของแรงงานข้ามชาติได้ และเมื่อจำเป็นต้องมีบริการแปลให้ด้วย บริการเหล่านี้ต้องเป็นบริการที่ไม่เก็บค่าธรรมเนียมใดๆ
(1) มติชน คอลัมน์ตนแรงงานเรื่อง “หมดยุค ‘ต่างด้าว’ผิดกฎหมาย การจ้างงานต้องเท่าเทียม” 19 มีนาคม 2555 น.10
(2) หนังสือสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณะสุข เรื่อง การเตรียมการเพื่อตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชาประจำปี 2554 เรียนนายแพทย์สาธารณะสุขจังหวัดลงวันที่ 14 กันยายน 2553
(3) เอกสารประกอบสมัชชาแรงงาน : ปฏิรูปประกันสังคมกับคุณภาพชีวิตแรงงาน , 13 มกราคม 2554 ณ ห้องคอนแวนชั่นโรงแรมรามาการ์เดนส์ กรุงเทพมหานคร จัดโดยแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน สสส. , คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย , มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ,มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน และเครือข่ายแรงงานต่าง
ä พริศรา ลิ่วเกียรติ, เจ้าหน้าที่ ILO เอกสารเรื่อง “สิทธิแรงงานข้ามชาติ” ประกอบการอภิปรายวิจารณ์รายงานการศึกษานโยบายและกฎหมายด้านแรงงานข้ามชาติ, 15 มกราคม 2547 ณ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ