โดย บัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ นักวิชาการมูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน
220158
หลักเกณฑ์การเข้าถึงสิทธิประกันสังคมกรณีว่างงาน
- นายจ้างและลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนโดยบังคับตามกฎหมายประกันสังคมมาตรา 33 เท่านั้น ที่ต้องจ่ายเงินสมทบ และได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน
- ประโยชน์ทดแทนกรณีว่างาน มี 3 เรื่อง คือ 1.เงินทดแทนการขาดรายได้ 2.บริการจัดหางาน และ3.บริการพัฒนาฝีมือแรงงาน
- ผู้ประกันตนที่จะไดรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วอย่างน้อย 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน
ถ้าว่างงานเพราะเหตุถูกเลิกจ้าง จะได้รับเงินทดแทนในระหว่างว่างงานร้อยละ 50 ของค่าจ้างครั้งละไม่เกิน 180 วัน/ปี กรณีลาออก หรือสิ้นสุดสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน และเลิกจ้างตามกำหนด ได้รับเงินทดแทนร้อยละ 30 ของค่าจ้างครั้งละไม่เกิน 90 วัน/ปี
- ผู้ประกันตนที่ต้องการได้สิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน ต้องไปขึ้นทะเบียนที่สำนักจัดหางานของรัฐภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ถูกเลิกจ้างหรือลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง และต้องไปรายงานตัวไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง โดย พร้อมที่จะทำงานที่เหมาะสมตามที่รัฐจัดหาให้หรือไปหางานใหม่เองหรือต้องไม่ปฏิเสธการฝึกงาน
นิยามตามพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 กับพ.ร.บ.ฉบับครม.เสนอ
พ.ร.บ.พ.ศ.2533 | พ.ร.บ.ฉบับครม.เสนอ |
“ว่างงาน” หมายความว่า การที่ผู้ประกันตนต้องหยุดงานเนื่องจากนิติสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานสิ้นสุดลง | ว่างงาน”หมายความว่า การที่ผู้ประกันตนต้องหยุดงานเนื่องจากนิติสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานสิ้นสุดลง เพราะเหตุลูกจ้างถูกเลิกจ้าง |
คำอธิบาย
นิติสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานสิ้นสุดลง สรุปรวมได้ 4 กรณี คือ
- เพราะนายจ้างเลิกจ้าง (ปลดออก/ไล่ออก)
- เพราะเกษียณอายุ และนายจ้างไม่ได้จ้างทำงานต่อ (ถือเป็นการ “เลิกจ้าง” ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา)
- เพราะสิ้นสุดสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาไว้แน่นอน
- เพราะลาออกจากงาน ไม่ว่าด้วยเหตุอะไรก็ตาม? รวมถึงการลาออกก่อนกำหนดอายุเกษียณตามเงื่อนไขที่นายจ้างกำหนด
ฝ่ายสนับสนุน VS ฝ่ายโต้แย้งกรณีไม่จ่ายประกันสังคมกรณีลาออก
ฝ่ายสนับสนุน ไม่จ่ายประโยชน์ทดแทนประกันสังคมกรณีลาออก
- เพราะประเทศส่วนใหญ่ไม่ให้สิทธิประกันสังคมกรณีลูกจ้างลาออก
- มีลูกจ้างบางคนมีเจตนาไม่สุจริต โดยตั้งใจลาออก เพื่อขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานและกลับไปทำงานเป็นลูกจ้างอีก
- ลูกจ้างบางคนลาออก เพื่อความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ หรือ อัตราเงินเดือน/สวัสดิการของตนเองในอนาคต หรือไปประกอบอาชีพอื่น จึงไม่ใช่หน้าที่ของระบบประกันสังคมพึงไปช่วยเหลือ
ฝ่ายโต้แย้ง คัดค้านการไม่จ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีลาออก
1. กฎหมายประกันสังคมบังคับใช้กรณีว่างงานตั้งแต่ปี2547 เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ที่คุ้มครองถึงกรณีลาออกด้วย ถ้าแก้ไขกฎหมาย เพื่อคุ้มครองเหตุถูกเลิกจ้างเท่านั้น ย่อมเป็นการลิดรอนละเมิดสิทธิผู้ประกันตนในอนาคตได้
2. กฎหมายประกันสังคมกำหนดให้ลูกจ้างต้องจ่ายเงินสมทบกรณีว่างงานไปตลอดขณะทำงานอยู่ เมื่อลาออกจากงาน ควรที่จะได้รับประโยชน์ทดแทนบ้าง เพราะเป็นเงินสมทบบางส่วนของ ผู้ประกันตนด้วย ซึ่งเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้จำนวนน้อยและไม่ได้รับง่ายๆ
3. ลูกจ้างที่มีเจตนาลาออกเพื่อรับเงินทดแทนการขาดรายได้เป็นเพียงส่วนน้อย ไม่ควรนำมาตัดสิทธิผู้ประกันตนส่วนใหญ่ในอนาคต และยังมีผู้ประกันตนที่ไม่รู้สิทธิ หรือ เข้าไม่ถึงสิทธิประกันการว่างงาน ทำให้ไม่ไปขึ้นทะเบียนว่างงานต่อสำนักงานจัดหางานเพือ่ขอรับสิทธิประโยชน์
4. ลูกจ้างจำนวนมาก ไม่มีเจตนาลาออกโดยสมัครใจโดยแท้จริง เพราะมีเหตุจำเป็น-เหตุจำยอมอื่นๆ เช่น ปัญหาสุขภาวะของตนเอง,นายจ้างต่อรองให้ลูกจ้างลงชื่อลาออก เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือจากนายจ้าง โดยไม่ต้องเสียเวลาไปฟ้องศาลแรงงานและไปหางานใหม่ได้เร็วขึ้น หรือไม่เสียประวัติบางอย่างถ้าไปสมัครงานใหม่
หรือลูกจ้างต้องลาออกเพราะนายจ้างย้ายสถานประกอบการไปไกล ส่งผลกระทบต่อชีวิตปกติของลูกจ้างหรือครอบครัว , สถานประกอบการบางแห่ง นายจ้างอาจมีเหตุจำเป็นต้องค้างจ่ายค่าจ้าง หรือจ่ายค่าจ้างล่าช้าเป็นประจำ หรือไม่มีการทำงานล่วง เวลาขณะที่คนงานได้ค่าจ้างต่ำอยู่แล้ว ทำให้ลูกจ้างจำนวนมากต้องค่อยๆลาออกไป หางานที่มั่นคงกว่าหรือรายได้มากกว่าเดิม ฯลฯ
5. ข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคม พบว่าตั้งแต่ปี2547 ถึง 2556 (ดูตารางที่ 1) มีแนวโน้มการลาออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ(ปี2553-2556)ไม่น้อยกว่า 70% ของผู้ว่างงานทั้งหมด
เป็นไปได้ว่า นายจ้างหลายแห่งใช้วิธีข่มขู่ หรือชักจูงเกลี้ยกล่อม หรือหลอกลวง หรือต่อรองให้ลูกจ้างยอมลาออก เพื่อลดทอนสิทธิประโยชน์ที่ฝ่ายนายจ้างต้องจ่ายและป้องกันการร้องเรียน/ฟ้องร้องในอนาคต ขณะที่ลูกจ้างต้องเสียสิทธิประโยชน์ประกันสังคมกรณีว่างงาน
ตารางที่ 1
จำนวนการใช้บริการกรณีว่างงาน จำแนกตามสาเหตุ ปี 2547-2556
ปี |
ถูกเลิกจ้าง (%) |
สมัครใจลาออก(%) |
สิ้นสุดสัญญาจ้าง (%) |
รวม (100%) |
2547 | 5,432 (35%) | 8,102 (52%) | 2,188 (14%) | 15,722 |
2548 | 9,074 (32%) | 14,821 (53%) | 4,126 (15%) | 28,021 |
2549 | 14,767 (37%) | 22,427 (56%) | 2,708 (7%) | 39,902 |
2550 | 20,470 (36%) | 33,573 (59%) | 2,538 (4%) | 56,581 |
2551 | 21,926 (30%) | 45,545 (63%) | 4,480 (6%) | 71,951 |
2552 | 60,767 (44%) | 73,783 (53%) | 4,615 (3%) | 139,165 |
2553 | 19,552 (22%) | 66,279 (73%) | 4,134 (5%) | 89,965 |
2554 | 24,036 (24%) | 69,029 (70%) | 5,077 (5%) | 98,142 |
2555 | 17,937 (20%) | 63,873 (72%) | 6,253 (7%) | 88,063 |
2556 | 18,712 (20%) | 72,619 (76%) | 3,759 (4%) | 95,090 |
ที่มา : กองวิจัยและพัฒนา สำนักงานประกันสังคม (สถิติประกันสังคม 2556 : น.60)
ข้อสังเกต คือ สำนักงานประกันสังคมไม่มีฐานข้อมูลชัดเจนว่าผู้ประกันตนถูกเลิกจ้าง และลาออก เพราะเหตุใดบ้าง? และไม่รู้ว่าผู้ประกันตนที่ไม่ไปแจ้งขึ้นทะเบียนว่างงานมีจำนวนมากน้อยเท่าไร เพราะเหตุใด?
ประเด็น คือ รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. สภาผู้แทนราษฎร ที่ส่งให้วุฒิสภาพิจารณาในปลายปี2556 ก่อนยุบสภาผู้แทนราษฎร กรรมาธิการวิสามัญส่วนใหญ่ที่เป็น ส.ส.เห็นชอบให้ตัดความว่า “เพราะเหตุลูกจ้างถูกเลิกจ้าง” ออกจากนิยามของ “ว่างงาน” ของร่างกฎหมายฉบับรัฐบาลเสนอและสำนักงานประกันสังคมก็ไม่ได้คัดค้าน ขณะที่ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายประกันสังคม (พลเอกสิงห์ศึก สิงห์ไพร) สภานิบัญญัติแห่งชาติปัจจุบัน กลับเห็นว่าเป็นการเปลี่ยนหลักการร่างกฎหมาย ถ้ากลับไปใช้นิยามเดิมของ “ว่างงาน” ตามกฎหมายประกันสังคม
ตารางที่ 2
สรุประยะเวลาดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อให้ประโยชน์ทดแทน
ประเภทของการประกันสังคม(มาตรา 54) | ระยะเวลาดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อให้ประโยชน์ทดแทน(มาตรา 104) | อัตราเงินสมทบ | |
ตามกฎหมาย | จ่ายจริง | ||
1. กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน2. กรณีคลอดบุตร3. กรณีทุพพลภาพ4. กรณีตาย | ดำเนินการเมื่อพ้น 180 วันนับแต่วันที่ประกาศใช้บังคับกฎหมายประกันสังคม (มาตรา 2) คือ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2534 เป็นต้นไป | ไม่เกิน 1.5% | ฝ่ายละ1.5% |
5. กรณีสงเคราะห์บุตร6. กรณีชราภาพ | ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2541 เป็นต้นไป** | ไม่เกิน 3% | รัฐจ่าย1% นายจ้าง/ลูกจ้างฝ่ายละ 3% |
7. กรณีว่างงาน | ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2547 เป็นต้นไป** | ไม่เกิน 5% | รัฐจ่าย 0.25 % นายจ้าง/ลูกจ้างฝ่ายละ 0.50% |
* พระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรและกรณีชราภาพ พ.ศ. 2541 ตรา ณ วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2541
** พระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ.2546 ตรา ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2546