เครือข่ายสลัม แรงงานนอกระบบ ชุมชน กทม. ร้องรัฐยกเลิกคำสั่งระงับโครงการที่ภาคประชาชนรับทุนจากสสส. เหตุกระทบคนทำงานสังคมนับหมื่น ทำประชาชนเสียโอกาส พร้อมให้ทบทวนการเก็บภาษีย้อนหลัง 5 ปี
วันนี้(13 มกราคม 58)เวลา10.00 น.ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มเครือข่ายแรงงานนอกระบบ ประกอบด้วย วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แท็กซี่ แม่ค้า กรรมกร เครือข่ายสลบัม 4 ภาค และเครือข่ายชุมชนลดปัจจัยเสี่ยง กทม. กว่า100 คน รวมตัวกันยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อพลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานบอร์ดกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(บอร์ดสสส.)เพื่อเรียกร้องให้เร่งปลดล๊อคโครงการที่ภาคประชาชนรับทุนจาก สสส.หลังจากติดขัดมานานหลายเดือน จนไม่สามารถทำกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพในพื้นที่ได้ พร้อมทั้งขอให้รัฐบาลเร่งหาแนวทางแก้ไขกรณีสรรพากรไล่เก็บภาษีโครงการย้อนหลัง5ปี ทั้งนี้เครือข่ายฯได้ชูป้ายแสดงข้อความต่างๆ อาทิ ดองโครงการ สสส. ชาวบ้านเสียโอกาส เศร้าใจนายทุนได้ลดภาษี โครงการชาวบ้านถูกรีดภาษี
นายชาญ รูปสม ผู้ประสานงานเครือข่ายชุมชนลดปัจจัยเสี่ยง กทม. กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการสั่งระงับการจ่ายเงินดำเนินงานและไม่อนุมัติโครงการที่มีงบประมาณเกิน 5 ล้านบาท รวมเกือบ 2,000 ล้านบาท ส่งผลกระทบต่อคนทำงานกว่า 10,000 คน ซึ่งส่งผลเสียทำให้ประชาชนไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ของกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ นอกจากนี้กรณีสรรพกรยังได้เก็บภาษีย้อนหลัง 5 ปี จากมูลนิธิองค์กรต่างๆที่รับทุนจากสสส.รวมค่าปรับแล้วไม่น้อยกว่า 800 ล้านบาท จากปัญหาดังกล่าวเครือข่ายฯจึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาล ดังนี้
1. ขอให้เร่งพิจารณายกเลิก การชะลอโครงการของภาคประชาชนที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อให้มีงบประมาณให้องค์กร กลุ่มและบุคลต่างๆได้ทำกิจกรรม รณรงค์ ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพวะและความกินดีอยู่ดีของประชาชนโดยเร็ว
2. ขอให้พิจารณาแนวทางช่วยเหลือกรณีบุคคลกลุ่มองค์กร รวมทั้งข้าราชการจำนวนหนึ่งที่ ทำโครงการโดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนฯ แต่กำลังถูกสรรพากรไล่เก็บภาษีย้อนหลังถึง 5 ปี โดยการตีความใหม่ว่าสัญญาโครงการเป็นลักษณะ “การจ้างทำของ” ซึ่งเป็นการตีความที่มองว่าผู้ทำโครงการมีรายได้ ตีความจากเงินโครงการที่รับทั้งหมด ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้วในแต่ละโครงการ มีเงินเดือนของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานโครงการเท่านั้นเป็นรายได้และส่วนนี้เองได้มีการหักภาษีนำส่งสรรพากรทุกเดือนอยู่แล้ว ส่วนการจัดกิจกรรม รณรงค์ หรือจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตามที่ระบุในโครงการก็มีการเคลียร์ใบเสร็จรับเงินไว้เป็นหลักฐานทั้งหมด ซึ่งในส่วนนี้มีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว และหากเงินโครงการคงเหลือก็ต้องส่งคืน สสส. ทั้งหมด เงินส่วนนี้จึงไม่ใช่รายได้ของผู้รับทุน แต่อย่างใด
3. ภาคประชาชนจะติดตามการสรรหากรรมการกองทุนฯอย่างใกล้ชิดเพื่อให้กองทุนนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย มีความเป็นอิสระ ไม่ถูกแทรกแซงจากกลุ่มธุรกิจหรือฝ่ายการเมือง และไม่เป็นเครื่องมือของผู้ที่จะเข้ามาแสวงหาประโยชน์ หรือมุ่งหวังทำลายความเข้มแข็งของภาคประชาชน ทั้งนี้หากเกิดความไม่ชอบมาพากลใดๆเครือข่ายจะร่วมกับเครือข่ายอื่นๆเคลื่อนไหวต่อสู้ให้ถึงที่สุด
“หากจะตรวจสอบการทำงานสสส.ก็ไม่ควรเหมารวมว่าทุกโครงการไม่โปร่งใส เพราะถือเป็นการกลั่นแกล้งคนทำงาน กระทบต่อการทำงานของภาคประชาชน นอกจากนี้การเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง หลายรายได้เตรียมเข้ายื่นขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครองเพื่อให้คุ้มครองชั่วคราว เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ภาคประชาชนจะเข้าปรึกษากับสภาทนายความให้เข้ามาช่วยดูแลเรื่องกฎหมาย และการประชุมบอร์ดสสส.ครั้งต่อไป ภาคประชาชนจะขอเข้าไปทวงถามความคืบหน้าต่อเรื่องนี้ด้วย” นายชาญ รูปสม กล่าว
นายสุทิน กีโรจณี อาชีพวินมอเตอร์ไซต์ ตำบลบางจาก จังหวัดสมุทรปราการ ในฐานะที่ได้เข้าร่วมโครงการเลิกเหล้าบุหรี่หยุดความรุนแรงในครอบครัว ของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนฯ กล่าวว่าตนมีอาชีพหาเช้ากินค่ำ ก่อนหน้าที่จะร่วมโครงการก็ใช้ชีวิตไปวันๆ หาเงินได้เท่าไหร่ก็หมดไปกับเหล้า บุหรี่ บางครั้งก็เลยไปถึงยาเสพติดอื่น ว่างก็เล่นการพนัน ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องคิดอะไร ทั้งที่มีครอบครัวแล้วก็ยังสนุกกับชีวิต มีปัญหากับภรรยาเป็นประจำ ทะเลาะกันจนถึงขั้นทำร้ายทุบตี ลูกก็เริ่มได้รับผลกระทบไปด้วย และตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไร จนทางโครงการได้ชวนมาเข้าค่ายครอบครัว และใช้กุสโลบายต่างๆทำให้ตนได้คิดทบทวนและเห็นความทุกข์ที่ลูกเมียได้รับ
“ทุกวันนี้เลิกทุกอย่างหันมาเป็นแกนนำในชุมชนชวนคนอื่นลด ละ เลิก และรักษาสุขภาพรักษาครอบครัวที่ดีเอาไว้ ช่วงเทศกาลต่างๆก็ช่วยกันรณรงค์ ซึ่งตรงนี้ชัดเจนว่าเราเป็นคนปลายน้ำ ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการ สสส. เต็มๆ แม้งบประมาณจะไม่ได้มากมาย แต่ชีวิตคนคนหนึ่งได้เปลี่ยนจากดำเป็นเทา แล้วค่อยเริ่มเป็นสีขาวได้ มันมีคุณค่ามาก แล้วพอเป็นกระแสในชุมชนเห็นได้ชัดเลยว่าความสงบสุขในชุมชนจะตามมา เราช่วยเหลือกันเป็นพี่น้องกันไม่มองเป็นอื่นหรือซ้ำเติมถากถาง สองสามเดือนที่ผ่านมาก็เริ่มแปลกใจเหมือนกันทำไมกิจกรรมหลายอย่างจึงลดลง และถูกยกเลิกไปทั้งๆที่เป็นกิจกรรมที่ดี มารู้อีกทีก็จากการตามข่าวทางหนังสือพิมพ์ จึงตกใจและไม่เข้าใจว่า ทำไมโครงการดีๆของสสส.ต้องถูกชะลอไว้ เพราะเรามั่นใจว่านี่คือการสร้างความเข้มแข็งให้คน ให้ครอบครัวและชุมชนอย่างแท้จริง และน่าจะเป็นเป้าหมายหนึ่งของรัฐบาล จึงอยากให้รัฐบาลเร่งยกเลิกการชะลอโครงการต่างๆโดยเร็ว และขอให้ช่วยไปเจรจากับสรรพากรด้วยว่าอย่ามาไล่บี้ภาษีกับคนทำงานสังคมเลย เล่นย้อนหลังกัน 5 ปีแบบนี้ คงได้ขายบ้าน ขายรถไปจ่ายกันแน่ แบบนี้คนทำงาน อาสาสมัครต่างคงหมดกำลังใจ รัฐต้องรีบทบทวน อย่าผลักไสเราไปเป็นอื่น”นายสุทิน กล่าว
///////////////////////////////