สภาทนายความทำหนังสือถึงนายกเร่งดำเนินการกับขบวนการค้ามนุษย์

สภาทนายความทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาชาวโรฮิงยาซึ่งเดินทางมาทางเรือที่เริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้นในปัจจุบันโดยเน้นการดำเนินการกับขบวนการค้ามนุษย์

รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ: นายสุรพงษ์  กองจันทึก ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ  ผู้ไร้สัญชาติ  แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ โทร. 081-6424006

ตามที่ได้มีชาวโรฮิงยา เดินทางโดยทางเรือ เข้าสู่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2551การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่สมัยนั้นใช้วิธีการผลักดันออกนอกน่านน้ำไทย  ซึ่งกลับทำให้มีจำนวน ชาวโรฮิงยา เข้ามาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสามารถเล็ดลอดเข้ามาใหม่ เพื่อเดินทางไปทำงานยังประเทศมาเลเซียได้

นายสุรพงษ์ กองจันทึก  ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ  ผู้ไร้สัญชาติ  แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ  ความกล่าวว่า “คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายแก่ชาวโรฮิงยาเหล่านี้ จนใน   เดือนมกราคม 2552 ได้มีการจับกุมชาวโรฮิงยา 78 คน นำขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมจน       ศาลจังหวัดระนอง พิพากษาความผิด และส่งมาให้อยู่ในการดูแลของสำนักงานตำรวจตรวจ        คนเข้าเมือง ต่อมาในวันที่  17  กุมภาพันธ์ 2553 ชาวโรฮิงยา ซึ่งมาจากประเทศบังคลาเทศ    28 คน ได้เดินทางกลับประเทศบังคลาเทศ หลังจากมีการจับกุมกลุ่ม 78 คน ดังกล่าว ก็ไม่ปรากฏชาวโรฮิงยา  เดินทางผ่านน่านน้ำไทยอีกเลย ตั้งแต่มกราคม 2552 เป็นต้นมา”

แต่ในปี 2554 พบว่ามีกลุ่มเรือมนุษย์ชาวโรฮิงยา เดินทางผ่านทะเลอันดามัน และเข้ามาในน่านน้ำอาณาเขตของประเทศไทย อีกครั้ง โดยจากรายงานสื่อมวลชน ในวันที่ 22 มกราคม 2554 มีการจับกุมและควบคุมเรือมนุษย์ชาวโรฮิงยาจำนวน 91 คน ในพื้นที่ชายทะเลจังหวัดตรัง  ต่อมาวันที่ 23 มกราคม 2554 ได้จับกุมและควบคุมเรือมนุษย์ชาวโรฮิงยา อีกจำนวน 67 คน ในพื้นที่เกาะสาหร่าย จังหวัดสตูล และล่าสุดในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 จับกุมและควบคุมเรือมนุษย์ชาวโรฮิงยาจำนวน 33 คน ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน   สภาทนายความ  ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ,เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  เพื่อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหากลุ่มผู้เดินทางโดยเรือชาวโรฮิงยา  ๓  ข้อ ได้แก่
1. รัฐบาลต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงของชาวโรฮิงยา แต่ละคนโดยละเอียด เพื่อจำแนกการจัดการให้ถูกต้องตามกฎหมายและหลักมนุษยธรรมโดย

1.1  หากพบว่ามีการเจ็บป่วย ต้องให้การช่วยเหลือ รักษา ตามจรรยาบรรณและหลักมนุษยธรรม

1.2  หากพบว่าเป็นผู้อพยพแสวงหาที่ลี้ภัย ต้องให้หน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยเข้ามาช่วยเหลือดูแล
1.3  หากพบว่าเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ หรือขบวนการค้าแรงงาน ต้องให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือ ดูแล

2.  รัฐบาลโดยเฉพาะสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท้องที่ และกองทัพเรือ ต้องไม่ผลักดัน ชาวโรฮิงยาโดยผิดกฎหมาย เนื่องจากขัดต่อหลักการระหว่างประเทศ คือ การผลักดันกลับไปสู่ความตาย ( Non Refoulement ) ซึ่งห้ามผลักดันไปสู่อันตรายที่มีความเสี่ยงต่อชีวิต และร่างกาย  นอกจากนี้การผลักดันส่งกลับของผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตามมาตรา 54 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ทำได้เฉพาะชาวพม่า ลาว และกัมพูชา ที่รับสารภาพเท่านั้น หากเป็นสัญชาติอื่นต้องนำขึ้นสู่ศาลเพื่อพิจารณาตัดสิน

3.  รัฐบาลต้องดำเนินการกับขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงยาอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นองค์กรอาชญากรรมค้ามนุษย์ มีเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากพบว่าชาวโรฮิงยาเหล่านี้มีขบวนการนายหน้าชักนำ และมีการจ่ายเงินจำนวนมาก ขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงยาที่มีกลุ่มบุคคลหลายสัญชาติร่วมกันโดยมีเป้าหมายที่ประเทศมาเลเซีย

นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า  “หน่วยงานรัฐต้องจริงจังกับการแก้ไขปัญหานี้ และไม่เพียงผลักดันออกไปเหมือนที่ผ่านมา เพราะเป็นการช่วยเหลือสนับสนุนขบวนการค้ามนุษย์  เนื่องจากขบวนการนี้จะไปเก็บเข้ามา และใช้ประเทศไทยทางบก เป็นทางผ่านไปประเทศมาเลเซีย  โดยเจ้าหน้าที่รัฐไม่รับรู้ โดยอ้างว่าผลักดันไปแล้ว และจะมีกลุ่มใหม่เข้ามาให้ผลักดันอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  จึงควรเก็บข้อมูล และกันชาวโรฮิงยาเหล่านี้เป็นพยาน เพื่อดำเนินการกับขบวนการค้ามนุษย์เหล่านี้อย่างจริงจัง”

////////////////////////////////////