สถานการณ์การเข้าไม่ถึงหลักประกันทางสังคมที่เหมาะสมกับแรงงานข้ามชาติ

P4050632

บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์
ฝ่ายวิชาการ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย

หัวใจหลักของการประกันสังคม คือ การเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข กล่าวคือ คนมีมากช่วยคนมีน้อย คนแข็งแรงช่วยคนเจ็บป่วย คนวัยทำงานช่วยคนเกษียณให้ได้บำนาญในยามชรา เหมือนคำกล่าวในลักษณะที่ว่า “ดีช่วยป่วย-รวยช่วยจน” ซึ่งหลักการนี้เป็นหลักการที่ทั่วโลกยอมรับเพื่อปกป้องดูแลให้คนทุกคนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์

ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้เคยกล่าวไว้ว่า “มนุษย์ต้องการความมั่นคงในการคุ้มครองชีวิตตั้งแต่ครรภ์มารดาจนถึงเชิงตะกอน” หรือกล่าวในภาษาธรรมดาว่า ความมั่นคงตั้งแต่เกิดจนตาย โดยนับตั้งแต่ก่อนเรียนหนังสือ ระหว่างเรียน ระหว่างทำงานเลี้ยงดูบุตร (รวมถึงความพิการ) และเกษียณอายุจากการทำงาน ดังนั้นการประกันสังคมจึงมีความสำคัญสำหรับคนทุกคน เพราะมีบทบาทในการสร้างความมั่นคงในชีวิต ทำให้บุคคลไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นและมีอิสระ เป็นการสนับสนุนการทำงานของสถาบันครอบครัว ฉะนั้นการประกันสังคมจึงไม่ใช่ภาระของบุคคล สังคม และรัฐบาล แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อบรรเทาความยากจนโดยเฉพาะในระดับบุคคล (ช่วงเด็กและชราภาพ) การสร้างความสมานฉันท์ในสังคม (แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ขจัดความแตกต่างในช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในประเทศ) และนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนและมั่นคงในอนาคตต่อไป

เป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อแรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติเพื่อรับรองความเป็นพลเมืองของประเทศต้นทางเรียบร้อยแล้ว แรงงานข้ามชาติจะต้องเข้าสู่การคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 โดยกลุ่มแรงงานข้ามชาติกลุ่มแรกที่เข้าสู่ระบบประกันสังคมเริ่มต้นในปีแรก คือ ปี 2553[1]

P5010450OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ปัจจุบัน ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2556 สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว ระบุว่า มีแรงงานข้ามชาติระดับล่าง 3 สัญชาติ คือ พม่า ลาว กัมพูชา ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว 848,443 คน และนำเข้าตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลพม่า ลาว กัมพูชา (MOU) 111,295 คน มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 959,738 คน โดยในจำนวนนี้มีแรงงานข้ามชาติเข้าสู่ระบบประกันสังคมแล้วทั้งสิ้น 217,972 คน โดยแบ่งเป็นแรงงานสัญชาติพม่า 103,799 คน กัมพูชา 40,935 คน และ ลาว 8,826 คน

กล่าวได้ว่าเนื่องด้วยข้อจำกัดจากกฎหมายที่ไม่เอื้อต่อการเข้าถึงของกลุ่มแรงงานข้ามชาติ และรวมทั้งระบบประกันสังคมประเทศไทยเป็นระบบสวัสดิการระยะยาวที่คุ้มครองในระหว่างการทำงานจนถึงวัยชราภาพ หรือหลังเกษียณอายุจากการทำงานแล้ว ซึ่งเหมาะสมกับกลุ่มที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยถาวรมากกว่า แต่สำหรับกลุ่มแรงงานข้ามชาติแล้วที่มีลักษณะจำเพาะของการจ้างงาน คือ อยู่อาศัยและทำงานได้เพียง 4 ปีเท่านั้น และจะต้องกลับไปประเทศต้นทาง

จากการที่ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมภาษณ์แรงงานข้ามชาติจำนวนหนึ่งที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วที่ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง กลับพบปัญหาที่เป็นผลมาจากการเข้าไม่ถึงการคุ้มครองในมาตรา 33 ตาม พรบ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ถึง 5 เรื่อง โดยเฉพาะต้องประสบปัญหาเกี่ยวกับการเข้าถึงสิทธิและการใช้สิทธิตามกฎหมายประกันสังคม ได้แก่ กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีว่างงาน กรณีชราภาพ เป็นต้น อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเงื่อนไขการเกิดสิทธิ หรือเงื่อนระยะเวลาในการรับสิทธิประโยชน์ หรือหลักเกณฑ์และวิธีการขอรับและจ่ายสิทธิประโยชน์ หรือการติดต่อสื่อสารระหว่างสำนักงานประกันสังคมกับผู้ประกันตนและ/หรือผู้มีสิทธิของผู้ประกันตน

มีรายละเอียดแต่ละเรื่องดังนี้

OLYMPUS DIGITAL CAMERAP9150321

(1)   ปัญหาจากข้อจำกัดในระดับนโยบาย

(1.1)      แรงงานข้ามชาติมักจะทำงานอยู่ในกิจการจ้างงานที่มีความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพสูงมากกว่าแรงงานไทย เช่น ก่อสร้าง ประมงทะเลต่อเนื่อง หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่ต้องสัมผัสสารเคมีสูง ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงได้ตลอดเวลา แต่พบว่าตามหลักเกณฑ์ประกันสังคมนั้น แรงงานข้ามชาติต้องส่งเงินสมทบมาแล้วอย่างน้อย 3 เดือน จึงจะสามารถใช้สิทธิการรักษาพยาบาลได้ ดังนั้นจากกรณีดังกล่าวกระทรวงสาธารณสุขจึงได้แก้ไขปัญหาโดยการที่ระหว่างรอใช้สิทธิ 3 เดือน จึงกำหนดให้แรงงานข้ามชาติต้องซื้อหลักประกันสุขภาพชั่วคราวในอัตราคนละ 650 บาท แทน ถือได้ว่ายิ่งเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้กับแรงงานเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะแรงงานต้องเสียค่าใช้จ่ายในกระบวนการพิสูจน์สัญชาติสูงอยู่แล้ว

(1.2)      กฎหมายประกันสังคม ยังมีข้อยกเว้นที่ไม่บังคับใช้ในกลุ่ม “ลูกจ้าง”บางประเภท โดยเฉพาะ “คนทำงานบ้านอันมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย” ซึ่งเป็นอาชีพที่แรงงานข้ามชาติกว่า 60 % ทำงานอยู่

(1.3)      การจัดบริการสุขภาพสำหรับผู้ประกันตน และชุดสิทธิประโยชน์ คุณภาพ และมาตรฐานการรักษา และวิธีการเข้าถึงบริการของโรงพยาบาลในสังกัดประกันสังคมยังไม่เท่าเทียมกับระบบประกันสุขภาพอื่นๆ

(1.4)      การบริหารกองทุนยังขาดการมีส่วนร่วมของผู้ประกันตน ไม่โปร่งใส นำไปสู่การแสวงหาผลประโยชน์จากกองทุนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการประกันสังคมและการดำเนินการของกองทุนประกันสังคมต่อผู้ประกันตน หรือผู้ประกันตนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยสะดวก

PC160143P5010079

(2)   ปัญหาจากระบบการเข้าถึง

(2.1)     ข้อจำกัดในการเข้ารับการรักษาพยาบาลระหว่างรอบัตรประกันสังคม พบว่าในระหว่างที่แรงงานรอบัตรนั้น ต้องเข้ารับการรักษาเฉพาะโรงพยาบาลรัฐเท่านั้น จึงจะสามารถเบิกคืนเงินย้อนหลังที่จ่ายไปได้ทั้งหมด แต่มีแรงงานบางคนที่ไม่ทราบและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนแทน การเบิกคืนย้อนหลังจะสามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้เพียงบางส่วนเท่านั้น

(2.2) แรงงานไม่สามารถตรวจสอบสิทธิประกันสังคมได้ เนื่องจากในระหว่างที่สำนักงานประกันสังคมยังไม่สามารถออกบัตรประกันสังคมให้แรงงานได้ การตรวจสอบสิทธิจะทำได้ยากมาก เพราะการออกบัตรประกันสังคมจะขึ้นอยู่กับเลขที่ใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติ ซึ่งประกันสังคมจะอ้างอิงเลขที่ใบอนุญาตทำงานในการบ่งบอกสิทธิของผู้ประกันตน แต่ในความเป็นจริงแล้วกระทรวงแรงงานจะออกใบอนุญาตทำงานล่าช้ามาก แรงงานจึงไม่สามารถนำเลขที่ใบอนุญาตทำงานมาใช้ยืนยันสิทธิในการเบิกจ่ายสิทธิประกันสังคมได้ แม้ว่าทางสำนักงานประกันสังคมจะได้กำหนดมาตรการแก้ไข โดยการสร้างฐานทะเบียนผู้ประกันตนชั่วคราวไว้ แต่ก็ยังคงมีอุปสรรคในทางปฏิบัติ เพราะชื่อของแรงงานข้ามชาตินั้นคล้ายคลึงกันและไม่มีนามสกุล และการบันทึกทะเบียนผู้ประกันตนของสำนักงานประกันสังคมก็ไม่ได้แยกกลุ่มแรงงานข้ามชาติไว้ต่างหาก ทำให้เกิดความสับสน ล่าช้า เสียเวลามากยามต้องตรวจสอบสิทธิประกันสังคม

(2.3) มีบางโรงพยาบาลในระบบประกันสังคม ที่ยังมีข้อจำกัดทั้งจำนวนเจ้าหน้าที่และขนาดของโรงพยาบาล ทำให้ความสามารถของการบริการสาธารณสุขในบางพื้นที่ไม่เพียงพอที่จะรองรับแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในพื้นที่และมีจำนวนมากได้ รวมทั้งยิ่งทำให้คนในพื้นที่ต้องรอรับบริการล่าช้ามากขึ้น จึงส่งผลต่ออคติเชิงชาติพันธุ์ การกีดกัน การไม่ยอมรับการอยู่ร่วมกันในชุมชนเดียวกันติดตามมา

voicelabour1

(3)   ปัญหาจากข้อจำกัดจากสิทธิประโยชน์ตามมาตรา 33

(3.1)     ในสิทธิประโยชน์เรื่องคลอดบุตร ได้ระบุไว้ว่า ผู้ประกันตนที่จะสามารถใช้สิทธินี้ได้ต้องมีเอกสารแสดงตนประเภทใดประเภทหนึ่งใน 3 ประเภทนี้ (เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง) คือ ทะเบียนสมรสไทย หรือ หนังสือรับรองบุตร หรือใบคำสั่งศาล อย่างไรก็ตามพบว่าสำนักงานประกันสังคมแต่ละจังหวัดเรียกเอกสารไม่เหมือนกัน ซึ่งสร้างความสับสนให้กับผู้ประกันตนอย่างมาก รวมทั้งยังพบต่อว่าในกลุ่มแรงงานข้ามชาติโดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ทั้งจากประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายขอบ/รอบนอกของประเทศต้นทาง ย่อมประสบปัญหาในการมีใบยืนยันดังกล่าวจากประเทศต้นทางอย่างแน่นอนเพราะด้วยข้อจำกัดต่างๆของระบบที่ประเทศนั้นๆ ดังนั้นเมื่อแรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานในประเทศไทยจึงไม่สามารถเข้าถึงสิทธินี้ได้

(3.2)     เนื่องจากแรงงานข้ามชาติอยู่ในประเทศไทยได้สูงสุดแค่ 4 ปีเท่านั้น แต่หลักเกณฑ์ประกันสังคมระบุว่าบุตรมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์จนถึงอายุ 6 ปี ดังนั้นเมื่อแรงงานข้ามชาติต้องสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน แรงงานข้ามชาติจะมีสิทธิรับเงินสงเคราะห์บุตรต่อเนื่องอีกได้หรือไม่ และจะมีวิธีการอย่างไร เพราะต้องเดินทางกลับประเทศต้นทาง

(3.3)     การเข้าถึงสิทธิกรณีชราภาพ ได้ระบุเงื่อนไขไว้ว่าแรงงานที่จะได้รับบำนาญชราภาพต้องประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ ดังนี้ คือ (1) ส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 180 เดือนหรือ 15 ปี (2) อายุขั้นต่ำ 55 ปีและ (3) ออกจากงาน แต่เนื่องจากแรงงานข้ามชาติทำงานได้แค่ 4 ปีและต้องออกจากงาน ทำให้จึงจะได้เพียงบำเหน็จชราภาพเท่านั้นแต่ต้องรอถึงอายุ 55 ปี ดังนั้นจะมีแรงงานกี่คนที่เข้าถึง/ได้รับบำเหน็จก้อนนี้

(3.4)     ตาม พรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ได้ระบุเงื่อนไขไว้ว่า  แรงงานข้ามชาติที่สิ้นสุดการเป็นลูกจ้างจะต้องถูกส่งกลับประเทศต้นทาง  หรือมิฉะนั้นต้องหานายจ้างใหม่ให้ได้ภายใน 7-15 วัน คำถาม คือ ถ้านายจ้างเลิกจ้างเพราะไม่ใช่ความผิดของลูกจ้างเองโดยตรง  และแรงงานไม่สามารถหานายจ้างใหม่ได้ใน 15 วัน และถูกส่งกลับ แรงงานจะเข้าถึงเงินทดแทนการขาดรายได้ได้อย่างไร ? และรวมถึงในกรณีที่แรงงานข้ามชาติเมื่อสิ้นสุดการจ้างงาน 4 ปี แล้ว ก็ต้องถูกส่งกลับประเทศต้นทาง ก็ยิ่งไม่มีทางใช้สิทธิประโยชน์นี้เหมือนแรงงานไทยได้

ข้ามชาติ

(4)   ปัญหาจากนายจ้าง

(4.1)     สถานประกอบการยังมีการหลบเลี่ยงการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนที่เป็นแรงงานข้ามชาติ ไม่มีการส่งเงินสมทบที่หักจากลูกจ้างเข้ากองทุนประกันสังคม อีกทั้งมีหลายบริษัทที่นายจ้างส่งเงินสมทบล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งเมื่อครบกำหนดการชำระแล้วต้องนำเงินสมทบมาจ่ายภายใน 15 วัน หากเลยกำหนดจะโดนปรับดอกเบี้ย ทำให้มีนายจ้างบางคนที่จ้างแรงงานจำนวนมากจึงแก้ปัญหาด้วยการไม่ส่งเงินสบทบเลย เพราะไม่อยากเสียค่าปรับจำนวนมาก ทำให้แรงงานจึงเสียสิทธิแม้ว่านายจ้างจะหักเงินแรงงานไปแล้วก็ตาม

(5) ปัญหาจากตัวแรงงานข้ามชาติ

(5.1)     ตัวแรงงานข้ามชาติเองมักจะไม่ทราบสิทธิต่างๆที่พึงมีพึงได้ ขาดความเข้าใจในกฎเกณฑ์ระเบียบเงื่อนไขต่างๆที่จำเป็น และยิ่งเป็นแรงงานที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ นายจ้างไม่สนใจดูแล ยิ่งทำให้เกิดปัญหาในเรื่องการเบิกจ่ายสิทธิทดแทนอย่างมาก มีแรงงานจำนวนมากที่นายจ้างยึดบัตรไว้ แรงงานจึงถือเฉพาะใบเสร็จเพื่อมารับการรักษาแทน จึงเป็นอุปสรรคต่อการรักษาอย่างยิ่ง เพราะแรงงานก็จะไม่มีทั้งบัตรโรงพยาบาล บัตรประกันสังคม และใบอนุญาตทำงาน โรงพยาบาลจึงต้องใช้เวลาตรวจสอบเป็นระยะเวลานาน

(5.2)     มีบางกรณีที่แรงงานเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินนอกสถานที่ทำงานและถูกส่งตัวเข้ารับการรักษา ส่วนใหญ่แรงงานจะไม่มีเอกสารพกติดตัวมา เนื่องจากนายจ้างยึดเก็บไว้ เพราะกลัวแรงงานหลบหนี ทำให้การรักษาพยาบาลเกิดความล่าช้า เพราะโรงพยาบาลต้องติดต่อกับบริษัทที่แรงงานเหล่านี้ทำงานอยู่ เพื่อยืนยันสิทธิการเบิกจ่ายในการรักษาจริง รวมถึงแรงงานมักจะมีชื่อที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน ยิ่งทำให้การตรวจสอบสิทธิล่าช้ามากยิ่งขึ้น นี้ไม่นับว่าถ้าเป็นแรงงานหมดสติเข้ามารักษา ทางโรงพยาบาลก็มักจะแก้ปัญหาด้วยการทำทะเบียนผู้ป่วยใหม่ ไม่ตรวจสอบประวัติเดิม แรงงานก็จะเสียประโยชน์ในประวัติการรักษาที่เคยมีมาก่อนหน้านั้น

เหล่านี้คือสถานการณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ที่แรงงานข้ามชาติต้องเผชิญชะตากรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อข้ามให้พ้นจากปัญหาดังกล่าว ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจักต้องคำนึงถึงหลักสิทธิแรงงานและหลักสิทธิมนุษยชน การร่วมกันแสวงหารูปแบบการคุ้มครองตามพ.ร.บ.ประกันสังคมที่สอดคล้องและเหมาะสมกับการจ้างงานและชีวิตความเป็นจริง เช่น

– การทบทวนในเรื่องการคุ้มครองตามสิทธิประโยชน์ 7 กรณี รวมถึงการคำนวณอัตราส่งเงินสมทบใหม่ตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่สอดคล้องกับบริบทการจ้างงานของแรงงานข้ามชาติ ที่มีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาการจ้างงานในประเทศไทยได้เพียง 4 ปี  ซึ่งขณะนี้กระทรวงแรงงานมีการแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาการให้ความคุ้มครองในระบบประกันสังคมที่เหมาะสมต่อแรงงานต่างชาติ มีนายอารักษ์ พรหมณี รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคมเป็นประธานคณะทำงาน ซึ่งช่วยทำให้เกิดการเชื่อมโยงการผลักดันระดับนโยบายกับเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรแรงงานที่ผลักดันในระดับพื้นที่หรือระดับองค์กรอยู่แล้ว

– บทบาทของสหภาพแรงงานไทยในพื้นที่ ที่จะเข้ามาเป็นกลไกเชื่อมร้อย/สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารหรือสิทธิประโยชน์ประกันสังคมที่จะทำให้แรงงานข้ามชาติได้รับการคุ้มครองมากขึ้น เนื่องจากแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในระบบประกันสังคมส่วนใหญ่ทำงานในสถานประกอบการที่มีสหภาพแรงงานอยู่แล้ว และเป็นช่องทางสำคัญในการทำให้เกิดการเข้าถึงสิทธิ

– เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2556 ทางที่ประชุมสภาผู้แทน ราษฎรได้มีการรับหลักการวาระ 1 ร่างพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ… (ฉบับที่..) ของคณะรัฐมนตรีและของ สส.เรวัติ อารีรอบ และมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพรบ.ฉบับดังกล่าว ทั้งนี้ในร่างพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ… (ฉบับที่..) ของคณะรัฐมนตรี มีการระบุถึงเรื่องสิทธิประโยชน์บำนาญชราภาพของผู้ประกันตนที่เป็นแรงงานข้ามชาติ กล่าวคือ กรณีผู้ประกันตนที่ไม่มีสัญชาติไทย เมื่อความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง และไม่ประสงค์จะพำนักอยู่ในประเทศไทย ให้มีสิทธิเลือกรับเงินบำเหน็จชราภาพตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เหล่านี้ถือเป็นโอกาสเปิดทางนโยบายในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดันในระดับนโยบายต่อในเรื่องสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสมกับผู้ประกันตนที่เป็นแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับคณะกรรมาธิการฯ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา

ข้อเสนอดังกล่าวนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่มุ่งหวังให้แรงงานข้ามชาติสามารถเข้าถึงหลักการของประกันสังคมเพราะแรงงานข้ามชาติก็คือคนทำงานที่ควรได้ทำงานที่มีคุณค่า เพื่อการมีคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ดีเช่นเดียวกับแรงงานกลุ่มอื่นๆในประเทศไทย


[1] ต้องอธิบายเพิ่มเติมให้เห็นภาพมากขึ้นว่า ประเทศไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพสำหรับแรงงานข้ามชาติ 2 ระบบ คือ ระบบประกันสุขภาพแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตาม กับ ระบบประกันสังคม โดยระบบประกันสุขภาพแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตาม ครอบคลุมแรงงานข้ามชาติ 3 สัญชาติ ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว แต่ตกหล่นจากระบบประกันสังคม , ผู้ติดตามแรงงานข้ามชาติระดับล่าง 3 สัญชาติ และบุตรหลานที่เกิดในประเทศไทย และแรงงานข้ามชาติระดับล่าง 3 สัญชาติที่ไม่ได้จดทะเบียน กับ ระบบประกันสังคม ครอบคลุมแรงงานข้ามชาติระดับล่าง 3 สัญชาติ ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว ซึ่งเป็นระบบที่บทความนี้ได้อภิปรายเป็นสำคัญ