โดย บัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ มูลนิธิอารม พงศ์พงัน
สถานประกอบการหลายแห่ง อ้างมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 หรือ ไม่อ้างมาตรานี้ แต่จ่ายค่าจ้างเพียง 75% ช่วงที่นายจ้างหยุดงานเพราะน้ำท่วมโรงงานหรือขาดวัตถุดิบมาดำเนินการผลิต จึงขอทำความเข้าใจมาตรา 75 ให้ชัดเจน
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้มีการปรับปรุงแก้ไขหลายมาตรา โดยการตราพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไป หนึ่งในบทบัญญัติที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม คือ การหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา 75 มีถ้อยคำทั้งหมดดังนี้มาตรา 75 ในกรณีที่นายจ้างมีความจำเป็นโดยเหตุหนึ่งเหตุใดที่สำคัญ อันมีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของนายจ้างจนทำให้นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติซึ่งมิใช่เหตุสุดวิสัย ต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราว ให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยละร้อยละเจ็ดสิบห้าของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับก่อนนายจ้างหยุดกิจการตลอดระยะเวลาที่นายจ้างไม่ได้ให้ลูกจ้างทำงานให้นายจ้างแจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนวันเริ่มหยุดกิจการตามวรรคหนึ่งไม่น้อยกว่าสามวันทำการ
เจตนารมณ์
เพื่อคุ้มครองลูกจ้างมิให้ต้องสูญเสียรายได้ทั้งหมดในระหว่างที่นายจ้างมีเหตุจำเป็นสำคัญต้องหยุดกิจการชั่วคราว เพื่อลูกจ้างจะมีรายได้พอสมควรในการดำรงชีพเมื่อไม่มีงานทำชั่วคราว จึงกำหนดให้นายจ้างแจ้งเป็นหนังสือแก่ลูกจ้าง และพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วันทำการก่อนวันหยุดกิจการและนายจ้างจ่ายเงินช่วยเหลืออัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของค่าจ้าง
องค์ประกอบของการหยุดกิจการชั่วคราวได้
1. นายจ้างมีต้องความจำเป็นต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเพราะเหตุสำคัญที่ถึงขนาดทำให้นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการต่อไปได้ตามปกติ
2. เป็นการหยุดกิจการชั่วคราว ซึ่งมิใช่การเลือกปฏิบัติต่อลูกจ้างบางคนหรือลดกำลังการผลิตลงโดยยังคงมีวันทำงานอยู่
3. เหตุหยุดประกอบกิจการมิใช่เหตุสุดวิสัย
4. มีการแจ้งล่วงหน้าเป็นหนังสือไม่น้อยกว่า 3 วันทำการแก่ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานก่อนวันเริ่มหยุดกิจการ
ข้อสังเกต
คำว่า “เหตุสุดวิสัย” บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8 หมายความว่า เหตุใดๆอันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติก็ดี เป็นเหตุที่ที่ไม่อาจป้องกันได้ แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายได้จากบุคคลในฐานะและภาวะเช่นนั้น
โดยสรุปคือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่อาจคาดคิดและป้องกันได้ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และมิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายจ้าง ซึ่งมักเป็นเหตุวิบัติภัยทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว เกิดพายุใหญ่ อุทกภัยหรือน้ำท่วมขังรอบโรงงานจนกระทั่งไม่สามารถนำวัตถุดิบเข้ามาผลิตในโรงงานและส่งออกผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าได้ตามปกติ
ในทางกลับกัน ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่มิใช่เหตุสุดวิสัย แต่อยู่ในอำนาจ-ความสามารถของนายจ้างที่จะควบคุมป้องกันดูแลไม่ให้เหตุนั้นเกิดขึ้นได้ แต่นายจ้างไม่ดำเนินการ ตกอยู่ในความประมาทไม่ใช้ความสามารถ หรือ ความระวังอย่างเต็มที่ที่จะป้องกันเหตุการณ์นั้น จนกระทั่งส่งผลให้ลูกจ้างต้องหยุดงานชั่วคราว นายจ้างจึงต้องมีความรับผิดชอบจ่ายค่าจ้าง เช่น กรณีหยุดงานเพราะเหตุดังนี้
เครื่องจักรชำรุด เพราะไม่บำรุงซ่อมแซมหรือใช้เครื่องจักรเก่า ซึ่งย่อมชำรุดเสื่อมสภาพได้ง่าย
โรงงานถูกไฟไหม้ เพราะไม่ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัยที่ใช้งานได้และมีจำนวนเพียงพอ
น้ำท่วมขังในโรงงานเพราะท่อน้ำประปาในโรงงานแตก
ขาดแคลนชิ้นส่วนวัตถุดิบ เพราะนายจ้างไม่วางแผนจัดเก็บสำรองไว้ตามปกติ และน้ำท่วมเส้นทางขนส่ง ไม่สามารถนำวัตถุดิบมาป้อนโรงงานได้
ปิดโรงงานเพราะกรมโรงงานอุตสาหกรรมมีคำสั่งให้หยุดกิจการ
ปัญหาคือ การเกิดมหาอุทกภัยที่แผ่ขยายกระจายคุกคามสถานประกอบการและความมั่นคงในชีวิตของคนงานจำนวนมาก จนกระทั่งนายจ้างหลายรายอ้างมาตรา 75 หรือจ่ายค่าจ้าง 75% ไปเรื่อยๆนั้น มีความชอบธรรมตามเจตนารมณ์กฎหมายและสังคมหรือไม่อย่างไร ?
มีข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์จากสื่อมวลชน ชุมชนวิชาการ องค์กรภาคประชาสังคมและการอภิปรายตรวจสอบของพรรคการเมืองฝ่ายค้านว่า อุทกภัยครั้งใหญ่นี้ ไม่ใช่เกิดจากธรรมชาติภูมิอากาศอย่างแท้จริง แต่เกิดจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาดบกพร่องของนโยบายรัฐบาลและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจนกระทั่งไม่อาจป้องกัน/หลีกเลี่ยงความสูญเสียมหาศาลที่ตามมาได้
กล่าวคือ ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยสำหรับความรับผิดชอบของรัฐบาล แต่อาจเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่อาจป้องกันได้สำหรับนายจ้าง/ผู้ประกอบการบางแห่งเพราะนายจ้างหลายรายมีความพยายามป้องกันน้ำท่วมเข้าโรงงานร่วมกับลูกจ้างจนถึงที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่อาจขวางกระแสน้ำท่วมเชี่ยวได้ เพราะข้อจำกัดทางพื้นที่ภูมินิเวศที่ไม่เหมาะสมกับพื้นที่ตั้งอุตสาหกรรม , มวลน้ำมหึมาที่หลั่งไหลมาเกินกว่าจะต้านทาน รวมถึงความประมาทหรือความล่าช้าในการเตรียมป้องกันอุทกภัย เป็นต้น
ได้ ทุกโรงงาน ต้องมีความสามารถป้องกันน้ำท่วมเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นสถานประกอบการทุกแห่งจึงต้องจ่ายค่าจ้างเต็ม 100% เหมือนโรงงานมินิแบร์ โรงงานที่จ่ายค่าจ้าง 75% ย่อมทำผิดกฎหมายคุ้มครองแรงงานมาตรา 75 ?
ไม่อาจสรุปเป็นสูตรสำเร็จทั่วไปว่าถ้าโรงงานมินิแบร์ ที่ถนนพหลโยธิน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือโรงงานบางแห่ง สามารถก่อกระสอบทรายสร้างกำแพงกั้นขวางไม่ให้น้ำท่วมเข้าโรงงาน
ปัญหา คือ นายจ้างหลายแห่งใช้วิกฤตอุทกภัยเป็น (ฉวย) โอกาสจ่ายค่าจ้าง 75% (หรือเลิกจ้างลูกจ้างโดยเฉพาะลูกจ้างเหมาค่าแรงหรือแรงงานข้ามชาติหรือลูกจ้างสัญญาจ้างชั่วคราว) บางแห่งโรงงานผลิตได้แต่ขาดแคลนวัตถุดิบมาผลิตเพียงพอหรือไม่สามารถส่งขายสินค้าได้ก็จะจ่าย 75 % ทั้งที่โรงงานเปิดกิจการมานาน ผลประกอบการมีกำไรมาตลอด หรือมีทุนสะสมมากและมีกำไรมาก่อน เมื่อเกิดเหตุน้ำท่วมหยุดกิจการชั่วคราวก็รีบใช้วิธีลดค่าจ้างหรือลอยแพเลิกจ้างลูกจ้างในภาวะที่กระจัดกระจายอยู่ ย่อมเป็นเรื่องไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่งเพราะพึงคำนึงถึงความเป็นหุ้นส่วนที่จะต้องร่วมทุกข์สุขฟันฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน
ข้อเสนอ คือ 1. รัฐบาลพึงรับผิดชอบจ่ายอีก 25% ของค่าจ้างแก่ลูกจ้างโดยตรงเพราะอุทกภัยใหญ่เกิดจากปัญหาบริหารของภาครัฐด้วยเมื่อตรวจสอบเหตุจำเป็นที่นายจ้างจ่าย 75% แล้ว
2. นายจ้างรับผิดชอบจัดสวัสดิการค่าเดินทาง ที่พักชั่วคราวและค่าอาหารแก่ลูกจ้างที่ประสบภัย หรือยากลำบากในการเดินทางแต่ยังต้องมาทำงานประจำหรือต้องพักชั่วคราวในโรงงาน
ค่าจ้าง 75% กับการจ่ายเงินสมทบประกันสังคม
พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 5 กำหนดคำนิยามของ “ค่าจ้าง”หมายความว่า เงินทุกประเภทที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ ไม่ว่าคำนวณตามระยะเวลาหรือคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำงาน และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างให้ในวันหยุดและวันลาซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะกำหนด คำนวณ หรือจ่ายในลักษณะใดหรือโดยวิธีการใด และไม่จะเรียกชื่ออย่างไร
จากความหมายของ “ค่าจ้าง” ตามกฎหมายประกันสังคม ย่อมวินิจฉัยได้ว่าเงินที่นายจ้างให้ลูกจ้างเมื่อหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวยังต้องถือเป็นฐานคำนวณเพื่อหักค่าจ้างนำส่งเป็นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมตามอัตราที่กำหนด แม้ พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 จะมิได้กำหนดคำนิยามของคำว่า “วันหยุด” ไว้โดยเฉพาะเหมือนที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
เพราะฉะนั้น นายจ้างจะอ้างว่าจำเป็นต้องให้หยุดงานไม่ใช่เป็นการจ่ายค่าจ้างในวันเวลาทำงานปกติ หรือ ไม่ถือเป็น “ค่าจ้าง” ตามความหมายของพ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน เพื่อไม่หักค่าจ้างเป็นเงินสมทบนำส่งกองทุนประกันสังคม ย่อมเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายประกันสังคม ยกเว้น จะมีกฎกระทรวงกำหนดให้งดส่งเงินสมทบหรือลดอัตราเงินสมทบเป็นการชั่วคราวแล้วแต่กรณี โดยลูกจ้างได้รับประโยชน์ทดแทนเหมือนเดิมทุกประการ และมีหลักประกันว่าจะไม่ถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม /บทความน้ำท่วมโรงงานต้องจ่ายค่าจ้างหรือไม่ (https://voicelabour.org/?p=8629)