พี่สพรั่งที่ผมรู้จัก

กลางปี 2533 หลังจัดตั้งสหภาพแรงงานมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทยได้สำเร็จ ผมได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นอาจารย์สอนหนังสือเพื่อแสวงหาความท้าทายใหม่ๆ โดยมาทำงานเป็นที่ปรึกษาทางวิชาการให้กับมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท มูลนิธิทางการเมืองจากประเทศเยอรมันที่มีอุดมการณ์สังคมประชาธิปไตยซึ่งผมรับเชื่ออยู่ก่อนหน้าแล้ว ภารกิจหลักที่ผมได้รับมอบหมายจากมูลนิธิฯ คืองานด้านแรงงาน ซึ่งก็เป็นหัวข้อที่ผมสนใจมาตั้งแต่เป็นนักศึกษา แต่ก็เป็นเพียงสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ แต่เมื่อต้องเข้ามาทำเรื่องแรงงานอย่างจริงจัง จึงเป็นโจทย์ยาก หนักเอาการ จะศึกษาหาความรู้จากตำรับตำรา ข้อมูลเอกสารก็มีจำกัดมาก ผมจึงเดินเข้าหาขอความรู้จากผู้คน ทั้งจากนักวิชาการรุ่นพี่และนักสหภาพแรงงานหลายคน และหนึ่งในนักสหภาพแรงงานที่เมตตาให้ความรู้ และให้ความกรุณากับผมตลอดมานับแต่แรกเข้าสู่การทำงานกับขบวนการแรงงานคือ “พี่สพรั่ง มีประดิษฐ์” ขณะนั้นเป็นผู้นำสหภาพแรงงานเอสโซ่ และมีบทบาทสำคัญมากในสหพันธ์แรงงานปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์แห่งประเทศไทย ประสานงานและทำงานใกล้ชิดกับองค์กรสหพันธ์แรงงานปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ระหว่างประเทศหรือ ICEF ขณะนั้น นอกจากนั้นยังมีบทบาทและทำงานอย่างแข็งขันกับกลุ่มสหพันธ์แรงงานที่มีบทบาทสำคัญมาก โดยมีคุณนิคม เต็งใหญ่และพี่ปิยเชษฐ์ แคล้วคลาดจากสหภาพแรงงานองค์การค้าครุสภาและสหพันธ์แรงงานกระดาษและการพิมพ์แห่งประเทศไทยเป็นแกนนำสำคัญ
พี่สะพรั่งเป็นคนหน้าดุที่ใจดีมาก ใครที่รู้จักก็จะสัมผัสได้ถึงความเป็นคนมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ สุภาพ มีอารมณ์ขันเป็นกันเองกับทุกคน มีน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์คือ “แหบและดัง” เวลาพูด พี่สพรั่งได้ชื่อว่าเป็นนักสหภาพแรงงานที่ขยันขันแข็งกับงานส่วนรวมอย่างหาใครเทียบได้ยาก เป็นคนประเภท “Yes Man” คือไม่ปฏิเสธใคร เราจึงเห็นพี่สพรั่งไปปรากฏตัวอยู่ในกิจกรรมของผู้ใช้แรงงานทุกแห่ง ทุกหน
ผมได้มีโอกาส เรียนรู้ ปรึกษาหารือ ขอข้อมูลจากพี่สพรั่งเป็นระยะ ๆ ต่อเนื่องนับแต่ปี 2533เป็นต้นมา ทุกครั้งที่ขอคำปรึกษา หรือขอข้อมูลไม่เคยถูกปฏิเสธ งานวิจัยของผมได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจากพี่สพรั่งเสมอมา ท้ายสุดให้นักศึกษาของผมโทรไปสัมภาษณ์พี่เกี่ยวกับปัญหาการจัดตั้งสหภาพแรงงาน
ผมมาทำงานด้านแรงงานไม่นานพี่สพรั่งได้ลาออกจากที่บริษัทเอสโซ่ แต่ไม่เคยได้หลุดหรือห่างหายไปจากขบวนการแรงงานเลย ตรงข้ามกลับยิ่งให้เวลากับการทำงานให้กับองค์กรสหภาพแรงงานต่าง ๆ อย่างแข็งขันและต่อเนื่อง ที่สำคัญส่วนใหญ่เป็นงานอาสาสมัคร ผมจำได้ดีว่าปี 2534 ตอนที่พวกเรามีความคิดจะจัดทำพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยกันนั้น เราได้จัดให้มีการประชุมนัดสำคัญขึ้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2534 ที่ห้องสมุดของมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของผม ซึ่งมักถูกใช้เป็นที่ประชุมของบรรดาผู้นำแรงงานสำคัญ ๆ ในขณะนั้นซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนศรีอยุธยา ซอย 6 โดยระยะนั้นประเทศไทยอยู่ใต้การปกครองของเผด็จการทหารรสช. ที่ประชุมในวันนั้นประกอบด้วยนักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชนและนักสหภาพแรงงานรวม 33 คน พี่สพรั่งเป็นหนึ่งในผู้นำแรงงานที่เข้าร่วมประชุมครั้งนั้น ที่ประชุมได้มีมติร่วมกันที่จะดำเนินการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์แรงงานขึ้นในประเทศไทย เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแรงงานในประเทศไทย และเพื่อยกศักดิ์ศรีของชนชั้นผู้ใช้แรงงาน และจากการตัดสินใจในวันนั้นจึงได้นำไปสู่กระบวนการจัดตั้งและในที่สุดพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย พิพิธภัณฑ์แรงงานแห่งแรกในเอเชียก็ได้เปิดตัวต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2536  พี่สพรั่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อการพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยที่บัดนี้ดำเนินงานรับใช้ผู้ใช้แรงงานและสังคมไทยมาจนจะมีอายุครบ 26 ปี ทุกครั้งที่เราไปที่พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยอย่าลืมคิดถึงผู้ชายที่ชื่อสพรั่งไว้ด้วย รักพี่สพรั่ง ขอจงช่วยกันรักษา พัฒนาให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก้าวไปข้างหน้าตามที่พี่เขาตั้งความหวังไว้
นั่นเป็นงานแรก ๆ ที่เราได้ร่วมคิด ร่วมทำด้วยกัน อีกภาพจำของผมที่มีต่อพี่สพรั่งคือ การเป็นผู้บุกเบิกการทำงานในประเด็น “สุขภาพและความปลอดภัยในการทำงาน” พี่สพรั่งทำงานร่วมกับคุณหมอมาลินี และสหพันธ์แรงงานปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์แห่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนของ ICEF โดยได้ร่วมกันศึกษาปัญหาและรณรงค์ให้เกิดความตระหนักในประเด็นสุขภาพและความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มแรงงานไทยกลุ่มแรก ๆ ที่หยิบยกเอาประเด็นนี้ขึ้นมาเคลื่อนไหวเรียกร้องอย่างจริง ในขณะที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักในปัญหานี้
เราได้มีโอกาสทำงานร่วมกันหลายต่อหลายงานซึ่งทำให้ผมได้รับรู้ถึงความสามารถที่รอบตัวของพี่สพรั่ง พี่สพรั่งมีความสนใจและมีความรู้เรื่อง IT มานานมากแล้ว เรียกว่าสามารถนำเอา IT มาประยุกต์ใช้กับงานสหภาพแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก เมื่ออาจารย์สุนี ไชยรส ก่อตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจที่เรียกว่า แฮมเบอร์เกอร์ไคสิส พี่สพรั่งนอกจากจะเข้าไปช่วยดูแลศูนย์แบบกินนอนอยู่ที่นั่นแล้ว ยังได้นำเอาความรู้ด้าน IT ที่ตัวเองมีอยู่มาทำหน้าที่เป็น Web Master ดูแลWebsite ให้กับศูนย์อีกด้วย ต่อมาเมื่อคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยคิดจะปฏิรูปขบวนการแรงงานไทยอย่างเข้มข้นจริงจังโดยการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ 10 ปี ซึ่งผมได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผนยุทธศาสตร์ฉบับนี้ด้วย ผมและพี่สพรั่งได้มีโอกาสทำงานใกล้ชิดกันโดยอาศัยความรู้ด้าน IT ที่เราทั้งสองมีอยู่มาร่วมกันจัดทำ Facebook page ทศวรรษคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย โดยหมายให้เป็นสื่อกลางสำคัญในการสื่อสารภายในขบวนการแรงงานระหว่างการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ของเรา ผมและพี่สพรั่งได้ช่วยกันเป็นadminดูแล คอยอัพเดทข้อมูล ทำคอนเท้นท์ให้กับเพจของเรา เมื่อผมมีความจำเป็นต้องถอนตัวออกไปจากคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยเมื่อแผนยุทธศาสตร์ดำเนินการไปได้เพียง 1 ปี พี่สพรั่งยังคงดูแล เพจของเราตามลำพังต่อไป ผมสังเกตุเห็นพี่สพรั่งยังคงใช้Social Media เพื่อเผยแพร่ความรู้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งล่าสุดเมื่อผมเดินทางไปเกาหลีและแชร์ประสบการณ์ไปเยือนเกาหลี รวมทั้งโพสต์บทความเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา พี่สพรั่งยังเขามากดไลท์และแชร์บทความดังกล่าวเพื่อแบ่งปันความรู้ให้กับเพื่อน ๆ ที่ติดตาม face book ของตน
ความประทับใจอีกประการของผมคือ พี่สพรั่งเป็นผู้นำประเภทชอบ “ปิดทองหลังพระ” คือยินดีทำงานหนักอยู่ข้างหลัง เพื่อให้เกิดผลและประโยชน์กับส่วนรวม โดยไม่ได้หวังลาภ ยศและคำสรรเสริญเยินยอ พร้อมที่จะปรับตัวและใช้ชีวิตส่วนตัวให้ยืดหยุ่นไปกับงานสหภาพ เมื่อพี่สพรั่งได้เข้ามาทำงานและดูแลเรื่องการจัดตั้งของขบวนการแรงงานไทยอย่างเต็มตัวเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ผมดีใจมากเพราะเชื่อมั่นในประสบการณ์และการทำงานอย่างทุ่มเทของพี่ ผมไม่เคยรู้จักพี่สพรั่งในด้านอื่น ๆ เพราะดูเหมือนเขามอบทั้งชีวิตให้กับการทำงานด้านแรงงาน เรียกได้ว่า “หายใจเข้า หายใจออก” เป็นแต่เรื่องแรงงาน
เช้าวันนี้ 27 มิถุนายน 2562 ผมได้รับข่าวร้ายเกี่ยวกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพี่สพรั่งจากการโพสต์ข้อความในเฟสบุค ผมไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง รู้สึกทั้งเสียใจ เสียดายมาก ๆ เพราะถือเป็นการสูญเสียบุคลากร และกำลังสำคัญยิ่งของขบวนการแรงงานไทยไป พี่สพรั่งมีลูกศิษย์ มีคนที่ชื่นชอบ เคารพ รัก ศรัทธามากมาย ผมเข้าใจว่ามีพี่น้องแรงงานที่มีความผูกพันและได้ทำงานใกล้ชิดกับพี่สพรั่ง ซึ่งมีจำนวนมากมายเหลือเกิน ย่อมจะเสียใจ เสียดายมากกว่าผมแน่นอน ผมอยากขอให้พวกเราที่เคารพ รัก และศรัทธาในตัวพี่สพรั่ง มาช่วยกันทบทวน การทำงาน ผลงาน เจตนารมณ์ ความฝันและภารกิจคั่งค้างของพี่ แล้วช่วยกันทุ่มเทสานฝันและทำภารกิจเหล่านั้นให้สำเร็จลุล่วงเป็นจริง
หลับให้สนิทครับพี่ ไม่ต้องห่วงสิ่งที่ยังคั่งค้าง ผมเชื่อว่ามีน้อง ๆ อีกหลายคนจะก้าวตามแนวทางที่พี่ได้วางไว้
ด้วยคารวะและอาลัยอย่างสุดซึ้ง
ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา
27 มิถุนายน 2562