พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย จับมือ FES จัดเสวนาในโอกาสครบรอบ 17 ปีการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย และ ผู้นำแรงงาน หนุนบทบาทที่ผ่านมาในฐานะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้เรื่องราวของผู้ใช้แรงงานซึ่งสามารถอยู่ร่วมกับโครงการด้านธุรกิจอย่าง “มักกะสันคอมเพลกซ์”ได้โดยอยากให้เชื่อมเรื่องแรงงานสากลด้วย ด้านตัวแทนจากหน่วยงานรัฐอย่างการท่องเที่ยวฯแนะปรับให้ทันสมัยสร้างจุดขายแล้วจะช่วยโปรโมทให้ กระทรวงแรงงานฯบอกต้อง ไฮ-เทค และน่าจะเป็นกองหนึ่งในกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรมเห็นว่าเนื้อหาและวัสดุสิ่งของด้านแรงงานมีคุณค่าต่อการอนุรักษ์ ส่วนตัวแทนจากการรถไฟฯเปรียบเทียบกับต่างประเทศว่าจะอนุรักษ์ของเก่าที่มีคุณค่ามากกว่าทำลายทิ้ง
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2553 ที่โรงแรมอมารีเอเทรียม มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ร่วมกับ มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท (FES) จัดงานเสวนาในโอกาสครบรอบ 17 ปีการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย เรื่อง “บทบาทพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยต่อสังคม..จะก้าวไปทางไหน?” มีนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ และผู้นำแรงงาน เป็นผู้นำการเสวนา มีตัวแทนองค์กรแรงงานต่างๆเข้าร่วมกว่า 50 คน
นายทวีป กาญจนวงศ์ ประธานมูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงานว่า เพื่อสรุปทบทวนบทบาทที่ผ่านมาของพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยที่ก่อตั้งมาตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ.2536 และรวบรวมข้อเสนอแนะการดำเนินงานในอนาคต รวมทั้งการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆในสังคมเพื่อสนับสนุนการดำรงอยู่ของพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย
Mr. Marc Saxer ผู้อำนวยการมูลนิธิฟรีดริคเอแบร์ทกล่าวว่า พิพิธภัณฑ์ฯ คือสิ่งแสดงถึงความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของแรงงาน ทำให้รู้ว่า เราคือใคร มาจากไหน เราต้องการให้คนเห็นอะไร สังคมไทยให้คุณค่าของแรงงานมากน้อยแค่ไหน ควรภูมิใจที่เป็นพิพิธภัณฑ์แรงงานแห่งเดียวในเอเชีย
ประสบการณ์จากเยอรมัน มีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่มีนักลงทุนมาซื้ออาคารเพื่อทำธุรกิจแต่ก็จะมีกลุ่มคนลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อรักษาอาคารสถานที่เหล่านี้เอาไว้ สิ่งหนึ่งที่จะบอกว่าที่แห่งนี้เป็นสาธารณะและเป็นที่แสดงออกคือต้องสร้างพันธมิตรกับคนหลายภาคส่วน เช่น กลุ่มศิลปะ นักวิชาการ ต้องทำให้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องสังคมโดยรวม
นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กล่าวในช่วงเป็นผู้ดำเนินการเสวนาเรื่อง “มุมมองของภาคสังคม คุณูปการของพิพิธภัณฑ์ ความคาดหวังและข้อเสนอแนะ” ว่า ได้มีโอกาสไปงานครบรอบ 100 ปีสวรรคตของ ร.5 ทำให้เห็นว่ารัฐไม่ค่อยให้ความสนใจมิติประวัติศาสตร์โดยเฉพาะพื้นที่ประวัติศาสตร์ของภาคประชาชน ส่วนพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยก็ล่อแหลมในด้านสถานที่ที่จะถูกแปรเป็นผลกำไรทางธุรกิจ
นายศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา นักวิชาการประวัติศาสตร์ กล่าวว่า พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยเกิดขึ้นจากหลายคนหลายฝ่ายมาช่วยกันทำ โดยมีแนวคิดต้องการยกสถานภาพของผู้ใช้แรงงานที่ถูกมองว่าต่ำในสังคมจากประวัติศาสตร์ที่ลำเอียง และเพื่อสร้างเอกภาพฟื้นฟูขบวนการแรงงานไทย โดยกำหนดภารกิจไว้ 4 ประการ คือ 1. เป็นพิพิธภัณฑ์ 2. เป็นศูนย์ข้อมูลแรงงานซึ่งมีทั้งเอกสารและภาพถ่าย 3. เป็นศูนย์วัฒนธรรมแรงงาน และ 4. เป็นศูนย์จัดกิจกรรมฝึกอบรมด้านแรงงาน ซึ่งตลอด 17 ปีที่ผ่านมาถือว่ามีความคืบหน้าประวัติศาสตร์ของแรงงานถูกเติมเต็ม โดยปัจจัยแห่งความสำเร็จคือ ตอบสนองความต้องการของสังคมในการศึกษาประวัติศาสตร์แรงงานไทย ได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งแรงงาน องค์กรพัฒนาเอกชน สถาบันการศึกษา องค์กรต่างประเทศ รวมทั้งหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวทั้งระดับชาติและกรุงเทพมหนครฯ
แต่ก็ยังมีข้อน่ากังวลเรื่องพื้นที่จัดแสดงที่เริ่มคับแคบและยังขยับขยายไม่ได้จากความไม่ชัดเจนเรื่องสถานที่ตั้ง รวมทั้งยังขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณจากทั้งองค์กรของแรงงานและจากหน่วยงานภาครัฐ
นายวิษณุ เอมประณีตร์ ผู้จัดการพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย กล่าวว่า ในฐานะคนที่มีอาชีพทำพิพิธภัณฑ์ซึ่งถือเป็นแรงงานประเภทหนึ่งเช่นกัน ขอคารวะผู้ที่มีส่วนในการก่อตั้งและดำรงอยู่ของพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย เรามีประวัติศาสตร์ชาติที่ไม่มีประวัติศาสตร์ท้องถิ่นรวมอยู่ซึ่งก็ควรต้องมีการชำระให้ชัดเจน ชอบพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยที่บอกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์แรงงานแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียเพราะไม่จำกัดอยู่แค่ขอบเขตประเทศ ถือว่าเป็นสีสันและสร้างความหลากหลายซึ่งจำเป็นต่อวงการพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยเป็นตัวแทนรูปธรรมของการต่อสู้ทางด้านสังคม และเสนอว่าให้เติมเนื้อหาของแรงงานโลกเข้ามาด้วย ส่วนการดำรงอยู่ในโลกปัจจุบัน เห็นว่าธุรกิจใหญ่ๆมีแนวทางดึงพิพิธภัณฑ์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจ เช่น พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย พิพิธภัณฑ์ของแปลก ริปลี่ส์
อาจารย์พธู คูศรีพิทักษ์ อาจารย์ประจำหลักสูตรวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนา สาขาวิชาเอกพิพิธภัณฑ์ศึกษา สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล มีความเห็นว่า พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยแม้จะมีขนาดเล็กแต่ก็ใช้พื้นที่ได้เต็มศักยภาพ ต่อไปน่าจะมีการปรับภูมิทัศน์และขยายพื้นที่เพื่อเพิ่มเนื้อหา ซึ่งสถานที่ตั้งปัจจุบันก็เหมาะสมต่อการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวศึกษาและคิดว่าสามารถอยู่ในพื้นที่เขตธุรกิจได้อย่างเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน
ในส่วนการนำเสนอก็น่าสนใจมีคุณูปการต่อนักศึกษามาก มีนักศึกษาเสนอตัวเข้าไปช่วยในเรื่องของการออกแบบของที่ระลึก รวมทั้งสนใจจะทำเป็นวิทยานิพนธ์ด้วย ในส่วนของมหาวิทยาลัยก็คาดหวังให้เป็นพื้นที่สร้างเอกลักษณ์ที่ทุกคนเท่าเทียมกัน เชื่อมชุมชนเข้ามาเรียนรู้ร่วมกัน เกิดปฏิสัมพันธ์ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ให้เป็นสังคมที่เอื้ออาทรและลดความเหลื่อมล้ำ
นางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยได้ทำให้มีโอกาสเรียนรู้ประวัติของผู้นำแรงงานในอดีตเช่น ถวัติ ฤทธิเดช ผู้นำสมาคมกรรมกรรถรางแห่งสยาม ที่แม้จะเป็นชนชั้นกลางแต่ก็อุทิศตัวทำงานเพื่อคนงานยากจน ยังมี ศุภชัย ศรีสติ อารมณ์ พงศ์พงัน ทนง โพธิ์อ่าน ที่ยอมสละแม้ชีวิตเพื่อคนงาน จึงอยากให้ผู้นำแรงงานเข้าไปศึกษาตัวตนของแรงงานเพื่อสร้างความภาคภูมิใจ ต้องช่วยกันต่อสู้สนับสนุนให้พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยคงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี เพื่อเป็นศูนย์รวมของแรงงาน และเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ของคนทั่วไปด้วย
ช่วงต่อมาเป็นการเสวนาในหัวข้อ “รัฐและบทบาทในการสนับสนุนพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ : ข้อเสนอแนะในการประสานความร่วมมือและการจัดการเรื่องสถานที่ตั้ง”
ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยทำให้รู้จักปูมหลังของผู้ใช้แรงงานที่ทุกวันนี้มักพูดถึงแรงงานในคำว่าลูกจ้าง ซึ่งต้นกำเนิดคือ กุลีจีน ส่วนคนไทยในอดีตไม่เป็นลูกจ้าง แต่อยู่ในฐานะ ไพร่-ทาส เห็นว่าในด้านของการท่องเที่ยว ควรสนับสนุนในการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ให้มากขึ้น เพื่อให้ไม่ใช่มีเพียงเรื่องของ เซ็กซ์ทัวร์ หรือ ช้อปทัวร์ ส่วนกระทรวงแรงงานน่าจะมีหน่วยงานที่รวบรวมประวัติและเรื่องราวของแรงงานทั้งหมด
ในส่วนที่คิดว่ายังเป็นปัญหาของพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยอยู่ คือ เรื่องข้อมูลที่อาจยังมีไม่ครบ เรื่องสถานที่ ความอยู่รอดและความมั่นคง
นายสมชาย ณ นครพนม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ กระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงมีแนวทางสนับสนุนให้ท้องถิ่นจัดตั้งพิพิธภัณฑ์เป็นแหล่งเรียนรู้มากขึ้นจากปัญหาในการพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ไม่ค่อยมีชีวิต คนหนุ่มสาวไม่ชอบ ซึ่งอาจต้องนำพิพิธภัณฑ์ไปสู่ผู้คนในห้างสรรพสินค้า ชุมชน หรือโรงเรียน
ส่วนพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยมีความสำคัญเป็นแหล่งเรียนรู้การก่อร่างสร้างชาติ ถ้าใช้หลักอนุรักษ์ในประเด็นคุณค่าภูมิปัญญาความรู้ และวัสดุสิ่งของที่เป็นของแท้ดั้งเดิมก็จะมีพลัง และสามารถอยู่ร่วมกับศูนย์ธุรกิจอย่างคอมเพล็กซ์ได้
นายทวีศักดิ์ จันทร์เพชร หัวหน้าสวัสดิการแรงงาน ตัวแทนจากการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากย้อนไปดูต่างประเทศ ถ้าสร้างสิ่งใหม่ก็ต้องอนุรักษ์สิ่งเก่า ซึ่งสังคมไทยไม่ค่อยมีแนวคิดนี้ การต่อสู้เพื่อดำรงอยู่ก็ต้องมีการปรับภูมิทัศน์ และ นำเสนอสิ่งของที่ผูกพันกับวิถีชีวิต เช่น ระหัดชกมวย ระหัดวิดน้ำโบราณที่ใช้แรงคน
นายเกียรติศักดิ์ เอี่ยมสำอางค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกรุงเทพ กล่าวว่า พิพิธภัณฑ์แรงงานถือเป็นกระจกบานใหญ่ที่ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาประเทศ เป็นภูมิปัญญาและความรู้ที่ถือเป็นภาพลักษณ์ในด้านบวกของแรงงานที่ขายได้ไม่รู้จบแม้ในเรื่องของการท่องเที่ยว โดยต้องสร้างการรับรู้ในด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นภารกิจของ ททท. ที่พร้อมสนับสนุน
นายอิทธพล แผ่นเงิน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านแรงงานสัมพันธ์ กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงปัญหาสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยที่การรถไฟฯมีโครงการจะใช้พื้นที่บริเวณนั้นไปทำมักกะสันคอมเพล็กซ์ว่า ในแง่กฎหมาย ถึงอย่างไรการรถไฟก็ต้องจัดหาสถานที่ให้ และเห็นว่าพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยยังไม่ ไฮเทค ต้องเป็นกองในกระทรวงแรงงานฯถึงจะเติบโต ซึ่งถ้าช่วยกันผลักดันอาจได้รับการสนับสนุน และต้องมีการโรดโชว์ตีปิ๊บ
นักสื่อสารแรงงาน ศูนย์พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย รายงาน