ศ.ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
รัฐบาลได้ประกาศจะกู้นิคมอุตสาหกรรมโดยเร่งด่วน ทั้งนี้ก็เพื่อฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมให้กลับมายืนขึ้นได้โดยเร็ว ซึ่งจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจชาติโดยรวม อันนี้ไม่มีใครเถียงและคงยกมือสนับสนุนกันถ้วนหน้า เพราะนอกจากจะแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจแล้วยังแก้ปัญหาทางสังคม เช่น ด้านแรงงาน ด้านขโมยขโจรที่จะมีตามมาหากไม่มีงานทำ ฯลฯ ได้อีกด้วย แต่ที่อาจมีปัญหาคือการเร่งกู้โดยไม่รอบคอบ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลเสียมหาศาลตามมาโดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ การที่หน่วยงานราชการบางแห่งที่รับผิดชอบดูแลเรื่องมลพิษให้กับประเทศออกมาบอกว่า ให้กู้ไปก่อนโดยสูบหรือปล่อยระบายน้ำทิ้งออกจากบริเวณนิคมฯไปก่อน แล้วจะเฝ้าตรวจคุณภาพน้ำตามไป หากมีปัญหาตรงไหนก็จะหามาตรการแก้ไขเป็นกรณีไป
คำตอบหรือมาตรการแบบนี้คงยอมรับไม่ได้ในเชิงสิ่งแวดล้อม เพราะจากปัญหาที่เป็นเฉพาะจุดและอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้(บ้าง)อย่างในกำแพงดินรอบนิคมฯ กลายมาเป็นปัญหาที่กินบริเวณทุ่งกว้างแบบหาขอบเขตไม่ได้ ซึ่งในทางวิชาการวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมเขาเรียกว่า diffused pollution (หรือมลพิษแพร่) หรือ non-point source (แหล่งที่หาจุดกำเนิดไม่เจอ) ซึ่งเขาไม่ทำกัน
สิ่งที่ควรทำก่อน ณ ขณะนี้ คือการสำรวจว่ามวลน้ำที่ขังอยู่ในนิคมฯและต้องการสูบหรือระบายออกนั้นมีมลพิษปะปนอยู่มากน้อยเพียงใด หากมีน้อยก็สามารถเร่งกู้ได้ทันที แต่หากมีมากเกินที่สิ่งแวดล้อมจะรองรับได้ก็ควรกักเก็บไว้ก่อนและหาทางบำบัดให้ดีขึ้นก่อนจะปล่อยระบายออกนอกบริเวณ ประสบการณ์ในการกู้มลพิษเมื่อมีพายุขึ้นฝั่งที่เมืองนิวออร์ลีนส์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาใช้หลากหลายวิธี เช่น การเอาถุงทรายกักตะกอน การใส่สารเคมีเพื่อตกตะกอนมลพิษ ฯลฯ เป็นบทเรียนรู้ที่เราสามารถเรียนรู้จากเขาได้อย่างเร็ว
สำหรับการที่จะวิเคราะห์ว่าสามารถระบายน้ำออกจากนิคมฯได้หรือไม่ มีปัจจัยที่ควรเพ่งเล็งอยู่ 4 ปัจจัย คือ 1) อัตราการเจือจางจากน้ำที่เจิ่งนองอยู่ในทุ่งเมื่อเทียบกับน้ำที่จะปล่อยออกมาว่ามีมากน้อยเพียงใด หากการเจือจางมากพอก็อาจจะไม่มีปัญหา ทั้งนี้หากนิคมฯมีขนาด 3X3 ตารางกิโลเมตร และน้ำท่วมสูง 2 เมตร จะมีปริมาตรน้ำประมาณ 3X3X1,000,000X2 หรือ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งน่าจะน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำในทุ่งที่มีอยู่หลายพันล้านลูกบาศก์เมตร ถ้ามี 5 นิคมฯที่ต้องกู้ก็รวมปริมาตรได้ประมาณ 18X5 = 90 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งก็ยังน้อยกว่าน้ำในทุ่งมาก ข้อมูลนี้อาจทำให้เราเบาใจลงได้บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ต้องพิจารณาต่อไปยังปัจจัยที่สอง คือ 2) ความเข้มข้นหรือปริมาณของสารมลพิษที่จะปล่อยระบายออกไป หากปล่อยออกมากอัตราการเจือจางที่ว่ามากๆนั้นก็อาจไม่พอ เราจึงต้องรู้ก่อนว่ามีปริมาณสารมลพิษที่จะปล่อยออกไปมากน้อยเพียงใด ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีใครรู้ 3) ชนิดของสารมลพิษก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณาเพราะหากปล่อยออกไปไม่มาก รวมทั้งมีอัตราการเจือจางสูง ก็ทำให้เหลือความเข้มข้นของสารมลพิษนั้นๆต่ำ แต่การ‘ต่ำ’นั้น ก็อาจไม่ต่ำพอหากสารนั้นมีความเป็นพิษรุนแรง อย่างเช่นสารปรอท จะถูกกำหนดให้ต่ำมาก คือมีได้แค่ประมาณ 0.002 มิลลิกรัมต่อลิตร คือในน้ำ 1 ลิตร จะยอมให้มีปรอทได้ไม่เกินเพียง 0.002 มิลลิกรัม ซึ่งน้อยยิ่งกว่าน้อยเสียอีก
คราวนี้ก็มาถึงปัจจัยที่ 4 คือ ชนิดสารมลพิษ ที่ต้องรู้ว่ามีอยู่ที่นั่นหรือไม่ ณ ขณะนี้กรมต่างๆได้วิเคราะห์เพียงชนิดสารที่กำหนดอยู่ในมาตรฐานน้ำทิ้ง(ซึ่งพบว่ายังปลอดภัยอยู่) แต่สารที่วิเคราะห์ได้นี้อาจแตกต่างไปจากสิ่งที่ปะปนอยู่ในน้ำในตอนนี้เพราะมาตรฐานน้ำทิ้งที่กำหนดขึ้นนั้นได้กำหนดจากสิ่งที่ควรมีอยู่ในน้ำเสียมาแต่แรก แต่สารที่ใช้ในกระบวนการผลิตและอาจเป็นพิษ แต่ไม่ได้ปล่อยออกไปกับน้ำเสียในภาวะปกติจะไม่อยู่ในรายการมาตรฐานน้ำทิ้ง ในภาวการณ์ปัจจุบันจึงสามารถไปปะปนอยู่กับน้ำที่ท่วมขังในบริเวณนิคมฯได้ รวมทั้งน้ำที่ท่วมขังอยู่ในเขตนิคมฯนี้ยังสามารถไปชะละลายเอาสารต่างๆที่กองเก็บอยู่บนพื้นดินในนิคมฯมาปะปนกับน้ำที่ขังนองนี้ได้อีกประการหนึ่งด้วยเช่นกัน ดังนั้นการที่ไม่ได้วิเคราะห์สารที่ไม่รู้ว่าอาจมีปะปนอยู่ จึงไม่สามารถบอกได้ว่ามีหรือไม่มี และมีอยู่ในปริมาณมากน้อยเพียงใด รวมทั้งมีความเป็นพิษมากน้อยเพียงใด สิ่งนี้จึงเป็นความเสี่ยงที่ไม่น่าเสี่ยงเพราะผลกระทบนั้นมีได้มากมหาศาล
จาก 4 ปัจจัยนี้จะเห็นว่าที่เราพอจะคำนวณหาตัวเลขได้มีอยู่เพียงข้อเดียวคือ ข้อที่ 1 ส่วนที่เหลืออีก 3 ปัจจัยเรายังไม่รู้อะไรเลย และสิ่งนี้เราแทบจะทำอะไรไม่ได้เลยในทันทีในภาวการณ์ ณ ปัจจุบัน ดังนั้นเราจะต้องเร่งใช้มาตรการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ความโปร่งใสของการปฏิบัติงาน การมีส่วนร่วมของทุกภาคี CSR และพรบ.ข้อมูลข่าวสาร เพื่อชักจูงหรือบังคับให้ภาคอุตสาหกรรมส่งข้อมูลเกี่ยวกับชนิดและปริมาณสารมลพิษที่มีอยู่ในการครอบครองของตนมาให้คณะกรรมการเฉพาะกิจ ซึ่งควรมีตัวแทนของภาคประชาชนและภาควิชาการเป็นกรรมการอยู่ด้วย รวมทั้งไม่ควรมีตัวแทนทางด้านการเมืองมาเกี่ยวข้อง พิจารณาว่าควรเก็บตัวอย่างน้ำที่บริเวณใด เก็บอย่างไร ปริมาณเท่าใด ฯลฯ (ซึ่งต้องออกแบบกระบวนการและขั้นตอนการเก็บตัวอย่างให้ดี มิฉะนั้นข้อมูลจะไร้ความหมาย) และนำส่งห้องปฏิบัติการที่เป็นกลางสัก 3 แห่ง เพื่อนำข้อมูลมาตรวจสอบยืนยันข้ามกันและกันถึงความแม่นยำ
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นเราถึงจะมีข้อมูลมากพอที่จะสรุปว่า เราจะเร่งระบายน้ำออกจากนิคมฯได้ทันทีหรือไม่ การที่รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะระบายออกจากทุกนิคมฯให้หมดภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน นี้จะทำได้หรือไม่ ซึ่งแน่นอนหากใช้วิธีการที่นำเสนอนี้ก็ไม่น่าจะทำให้เป้าหมาย 30 พฤศจิกายนนี้สำเร็จได้ แต่การดื้อดึงเดินหน้าต่อไปให้ได้โดยไม่ชะลอไปก่อนนั้น จะทำสำเร็จได้ก็เฉพาะในแง่‘ปริมาณน้ำ’ที่จะสูบออกเท่านั้น แต่จะไม่มีทางการันตีได้เลยว่าจะทำได้ดีในแง่ของ ‘คุณภาพน้ำ’
ผมจึงมีข้อเสนอว่า ถ้ารอไม่ได้รัฐบาลก็ต้องตั้งงบประมาณขึ้นมาสักสองหมื่นล้านบาทมาเป็น กองทุนเฉพาะกิจพิเศษ ที่ชื่อว่า กองทุนรับประกันคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Environmental Guarantee Fund) หรือกองทุนรับประกันสุขภาพ (Health Guarantee Fund) เอาไว้ใช้ชดเชยเยียวยาฟื้นฟูหรือทำอะไรก็แล้วแต่ให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีนี้สามารถมีชีวิตที่ปลอดภัยและดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งแน่นอนกระบวนการนี้ต้องมีการปรึกษาหารือกันกับภาคประชาชน อันอาจต้องใช้เวลานานพอสมควรเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็พอจะมีคำตอบด้านกองทุนฯให้ประชาชนมีความหวังได้ และเป็นสิ่งที่ต้องทำ ส่วนจะทำได้เร็วหรือช้า นั่นขึ้นอยู่กับฝีมือของรัฐบาลครับ