บทวิพากษ์ต่อร่าง พรป.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
สุนี ไชยรส
ผอ.ศูนย์ส่งเสริมความเสมอภาคและความเป็นธรรม วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ถูกวิจารณ์ว่า กำหนดบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)ให้ไม่เป็นองค์กรอิสระตามที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องหน้าที่และอำนาจ ตาม มาตรา ๒๔๗ (๔) ชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องโดยไม่ชักช้าในกรณีที่มีการรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม อย่างไรก็ตาม รายละเอียดต่างๆขององค์ประกอบ การสรรหา และอำนาจหน้าที่ ฯลฯ จะอยู่ที่การร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พรป.) ทั้งหมด ดังนั้น เนื้อหาของร่างพรป.จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
เมื่อมีการร่าง พรป.คณะกรรมการสิทธิฯโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) มีการรับฟังความเห็นน้อยมาก และไม่เปิดเผยเนื้อหาร่าง พรป.ต่อสาธารณะ แม้จะมีการเชิญบุคคลหลากหลายไปให้ความคิดเห็นบ้างในคณะอนุกรรมการยกร่างฯ แต่ก็ไม่ได้เปิดประเด็นต่อสาธารณะให้มีการถกเถียงอย่างจริงจัง ทั้งที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ในมาตรา ๗๗ บัญญัติชัดเจนว่า “ก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับ รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์นั้นต่อประชาชน และนำมาประกอบ การพิจารณาในการตรากฎหมายทุกขั้นตอน…” ภาคประชาสังคมมีการส่งข้อเสนอ(รวมทั้งขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย(WeMove) ข้าพเจ้าเองมีโอกาสไปแลกเปลี่ยนกับคณะอนุ กรรมการยกร่างฯเกือบสองชั่วโมง จากประสบการณ์เป็นกสม.ชุดแรก(ปี ๔๔-๕๒) ได้พยายามเสนอแนะหลายประเด็นตามเจตนารมณ์และปัญหาจากการทำงานที่ผ่านมา บนพื้นฐานเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้มีประสิทธิภาพในฐานะองค์กรอิสระที่ประชาชนคาดหวังและต่อสู้ให้ได้มาซึ่งองค์กรนี้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐
แต่ร่างพรป.กสม.ที่ปรากฎ มีกระแสข่าววิจารณ์เรื่อง”เซทซีโร่”ให้ กสม.ชุดที่ ๓ ชุดปัจจุบันพ้นจากตำแหน่งในบทเฉพาะกาลเป็นหลัก ทั้งที่ประเด็นสำคัญที่ควรต้องถกเถียงมากกว่าคือองค์ประกอบ การสรรหา และบทบาทหน้าที่ เพราะจะส่งผลระยะยาวต่อการได้มาของ กสม.และบทบาทของกสม.ต่อไป
ร่าง พรป.ฯนี้ก้าวหน้าบางประเด็น เช่น ให้การเรียกตรวจสอบข้อเท็จจริงผูกพันหน่วยงานและเจ้าหน้าที่รัฐด้วย จากเดิมผูกพันเฉพาะบุคคล โดยมีบทลงโทษด้วย
-มาตรา ๓๕ ในการตรวจสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริง ให้คณะกรรมการมีอำนาจ… (๑) ขอให้หน่วยงานของรัฐ ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานดังกล่าว หรือบุคคลใด มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงหรือให้ความเห็นในการปฏิบัติงาน หรือมาให้ถ้อยคำ หรือส่งวัตถุ เอกสาร หลักฐาน หรือพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนด ในกรณีที่หน่วยงานหรือบุคคลใดไม่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการร้องขอ คณะกรรมการจะออกคำสั่งให้หน่วยงานหรือบุคคลนั้นดำเนินการดังกล่าวก็ได้
(๒) เข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ใด ๆ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในกรณีที่เคหสถานหรือสถานที่ที่จะเข้าไปนั้นมิได้อยู่ในความครอบครองของหน่วยงานของรัฐ และเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่ยินยอม ให้เข้าไปได้เมื่อมีหมายของศาล…ฯลฯ
แต่ในภาพรวมของร่าง พรป.กลับมีข้อจำกัดและมีอคติต่อ กสม.มากกว่ารัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ทั้งองค์ประกอบ การสรรหา ที่สำคัญด้านบทบาทหน้าที่ อันจะทำให้ กสม.ไม่สามารถแสดงศักยภาพการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ตามความคาดหวังของสังคมและประชาชน รวมทั้งหลักการปารีสได้ตามที่ควรจะเป็น
ข้าพเจ้ามีข้อเสนอเพื่อการแลกเปลี่ยนต่อสังคม ภาคประชาชน และหวังว่า กรธ. หรือคณะรัฐมนตรี หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช) จะมีการแก้ไขให้ดีขึ้น ที่สำคัญคือ
๑)องค์ประกอบของคณะกรรมการ ตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ให้มีกรรมการ ๗ คน พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา โดย“ผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องมีความรู้และประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นกลางทางการเมือง และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” ซึ่งที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ เน้นผู้ได้รับการสรรหาเป็นกสม.ทุกคนต้องมีประสบการณ์คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งมิติสิทธิมนุษยชนมีกว้างขวาง และต้องทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อคุ้มครองการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้อย่างกล้าหาญและเที่ยงธรรม
ปัญหาสำคัญคือร่าง พรป.ฯกำหนดองค์ประกอบ ๗ คนที่ถูกแบ่งแยกแบบตายตัว ให้กรรมการมีประสบการณ์ ๕ ด้านๆละอย่างน้อย ๑ คน แต่จะเกินด้านละ ๒ คนมิได้ ซึ่งจะมีผลให้องค์ประกอบ กสม.ชุดต่อไปมีผู้มีประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประขักษ์เพียง ๑-๒ คนจาก ๗ คนเท่านั้น และจะส่งผลกระทบต่อทิศทางและมติคณะกรรมการในการทำตามบทบาทหน้าที่อย่างยิ่งต่อไป รวมทั้ง พ.ร.บ.กสม. ปี ๒๕๔๒กำหนดชัดเจนว่า”ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทั้งหญิงและชาย” ซึ่งถูกตัดออกจากร่างพรป.นี้ โดยในมาตรา ๘ กำหนดไว้ว่า กรรมการมี ๕ ด้าน คือ
(๑)มีประสบการณ์ในการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนต่อเนื่องกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี
(๒) มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการสอนหรือทำงานวิจัยเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ในระดับอุดมศึกษามาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี
(๓) มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่จะยังประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ
(๔) มีความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารงานภาครัฐที่เกี่ยวกับการส่งเสริม
และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี
(๕) มีความรู้และประสบการณ์ด้านปรัชญา วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของไทยเป็นที่ประจักษ์ที่จะยังประโยชน์ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี…
๒)คณะกรรมการสรรหา ในพ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒(ถึงปัจจุบัน) มีกรรมการสรรหา ๒๗ คนยึดโยงกับภาคประชาสังคมหลากหลายกลุ่ม .ขณะที่ข้อวิจารณ์รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ที่ถูกนำมาใช้ในการสรรหา กสม.ชุดที่ ๒ และชุดที่ ๓ คือจำกัดกรรมการสรรหาเหลือ ๗ คน จากประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ผู้ถูกเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฏีกา ๑ คน ผู้ที่ถูกเลือกจากตุลาการศาลปกครองสูงสุด ๑ คน ในที่สุดรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มีการแก้ไขบ้าง โดยกำหนดให้มีส่วนร่วมขององค์กรเอกชนด้วย ในร่างพรป.จึงกำหนดให้มีกรรมการสรรหา ๑๑ คน มาจากองค์กรเอกชนที่มาจดแจ้งและเลือกกันเองเหลือ ๓ คน แต่ยังคงประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมีข้อวิจารณ์มาต่อเนื่องคือ บทบาทศาลไม่ควรมาเกี่ยวข้องกับการสรรหาองค์กรอิสระ โดยเฉพาะกสม. และไม่ควรต้องมีผู้แทนสภาวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุขเลือกกันเองให้เหลือหนึ่งคน เพราะไม่มีความจำเป็น และในความขัดแย้งของสังคมปัจจุบัน กลุ่มวิชาชีพนี้มีโอกาสที่จะเป็นคู่กรณีในการละเมิดสิทธิหรือไม่เป็นธรรมต่อประชาชนอีกด้วย
มาตรา ๑๑ (๑) ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ
(๒) ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นกรรมการ
(๓) ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นกรรมการ
(๔) ผู้แทนองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรละหนึ่งคน ซึ่งเลือกกันเอง
ให้เหลือสามคน เป็นกรรมการ
(๕) ผู้แทนสภาทนายความหนึ่งคน ผู้แทนสภาวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุขเลือกกันเองให้เหลือหนึ่งคน และผู้แทนสภาวิชาชีพสื่อมวลชนเลือกกันเองให้เหลือหนึ่งคน เป็นกรรมการ
(๖) อาจารย์ประจำในสถาบันอุดมศึกษาที่สอนหรือทำงานวิจัยหรือทำงาน
ด้านสิทธิมนุษยชนมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี ซึ่งกรรมการตาม (๑) (๒) (๓) (๔) และ (๕)
มีมติเลือกด้วยคะแนนเสียงสองในสาม หนึ่งคน เป็นกรรมการ
๓) คุณสมบัติ การมีอคติต่อนักการเมืองทุกแบบทุกระดับ จนกำหนดเงื่อนไขมากเกินควร ดังในมาตรา ๑๐(๑๘) และ (๑๙) ว่าด้วยลักษณะต้องห้าม ยิ่งการห้ามเป็นสมาชิกพรรคการเมืองในระยะสิบปีก่อนเข้ารับการสรรหา ยิ่งมีนัยละเมิดสิทธิบุคคลอย่างยิ่ง ขณะที่การเป็นข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานของรัฐใดๆ สามารถลาออกเมื่อได้รับการสรรหาได้
(๑๘) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในระยะสิบปีก่อนเข้ารับการสรรหา
(๑๙) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นของพรรคการเมืองในระยะสิบปีก่อนเข้ารับการสรรหา
๔)อำนาจหน้าที่ มีสามประเด็นที่จะมีปัญหาต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ กสม. คือ
(๑)รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ให้กสม.มีอำนาจหน้าที่ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และฟ้องแทนผู้เสียหายต่อศาลยุติธรรม แต่ในร่างพรป.กลับจำกัดลงตามมาตรา ๓๗
-มาตรา ๓๗ ในกรณีที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนเรื่องใดเป็นความผิดอาญาและผู้เสียหายไม่อยู่ ในฐานะที่จะร้องทุกข์หรือกล่าวโทษด้วยตนเองได้ ให้คณะกรรมการหรือผู้ซึ่งคณะกรรมการมอบหมายมีอำนาจร้องทุกข์หรือกล่าวโทษได้โดยให้ถือว่าเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(๒)การห้ามมิให้กสม.รับเรื่องร้องเรียนตามมาตรา ๓๙(๑) และ(๓) โดยไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชน โดยกำหนดว่า
– มาตรา ๓๙.(๑)เรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาล หรือเรื่องที่ศาลมีคำพิพากษา คำสั่ง หรือคำวินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดแล้ว ขณะที่พรบ.กสม.ปี ๒๕๔๒ บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และมิใช่เป็นเรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาล หรือที่ศาลพิพากษาแล้วหรือมีคำสั่งเด็ดขาดแล้ว ให้คณะกรรมการมีอำนาจตรวจสอบและเสนอมาตรการแก้ไข..” ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐนำเรื่องเป็นคดีในศาลมาอ้างจำนวนมากเพื่อมิให้กสม.ตรวจสอบ เช่น กรณีความรุนแรงในการปราบปรามการชุมนุมโดยสงบ การซ้อมทรมาน หรือใช้ความรุนแรงเกินเหตุในการจับกุม หรือทั้งหน่วยงานรัฐ หรือกลุ่มทุน เร่งรัดการฟ้องชาวบ้านและนักสู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน เป็นคดีแพ่ง คดีอาญา คดีแรงงาน สารพัดคดี …เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบมาตลอด แต่กสม.วินิจฉัยจากกฎหมายปี ๒๕๔๒ ชัดเจนว่า กสม.สามารถตรวจสอบการละเมิดได้ ถ้าเป็นคนละประเด็นกับศาล
มาตรานี้ควรต้องเขียนข้อยกเว้นให้ชัดเจนขึ้นเพราะ จะกระทบต่อประชาชนอย่างมาก และจะเปิดช่องให้ผู้ละเมิดใช้การฟ้องศาลมาเป็นเครื่องมือปิดกั้นการถูกตรวจสอบมากยิ่งขึ้น
-มาตรา ๓๙(๓)เรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่และอำนาจขององค์กรอิสระอื่น หรือที่องค์กรอิสระอื่นรับไว้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจขององค์กรอิสระอื่นนั้นแล้ว…กรณีนี้น่าจะสืบเนื่องจากแนวคิดของ กรธ.ที่พยายามมาโดยตลอดจะควบรวม กสม.กับผู้ตรวจการแผ่นดินโดยอ้างว่า งานซ้ำซ้อนกัน ทั้งที่มีคำอธิบายจากหลายฝ่ายมาต่อเนื่องว่า การตรวจสอบและวินิจฉัยของกสม.เน้นมิติสิทธิมนุษยชน ที่กว้างกว่าความชอบด้วยกฎหมาย เน้นหลักของรัฐธรรมนูญและพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี และควรให้เป็นดุลพินิจ และแนวทางการทำงานของ กสม.เอง
(๓)การไม่เข้าใจเจตนารมณ์เรื่องการตรวจสอบและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ในฐานะองค์กรอิสระ จึงทำให้มีอคติและไม่เข้าใจบทบาทความสำคัญของคณะอนุกรรมการ ที่เป็นอาสาสมัครผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีประสบการณ์ ผู้ช่วยเหลือที่สำคัญแก่ กสม. การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่มีมิติหลากหลายกว้างขวาง เจ้าหน้าที่ของกสม.ไม่อาจทำหน้าที่ได้เพียงพอและเข้าใจได้ทุกมิติ รวมทั้งมิใช่บทบาทการจ้างสถาบันการศึกษาหรือบุคคลมาศึกษา เพราะกสม.มิใช่สถาบันการศึกษาหรือวิจัย กสม.มีความจำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง การลงพื้นที่ การประชุมหารือแก้ไขปัญหากับเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับต่างๆ บางเรื่องเผชิญกับปัญหาจากกฎหมายล้าหลังรัฐธรรมนูญ นโยบายรัฐที่อาจเอื้อต่อกลุ่มทุนหรือหน่วยงานของรัฐมากเกินควร หรือเจ้าหน้าที่รัฐอาจเป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่เป็นธรรมต่อประชาชนเสียเอง ฯลฯ อคติที่มีต่อการตั้งคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๙ จึงเป็นเรื่องที่จะส่งผลจำกัดบทบาทการทำงานของกสม.ต่อไป
….มาตรา ๒๙ ในกรณีที่จำเป็นต้องได้ข้อมูลหรือมีการศึกษาเรื่องใด คณะกรรมการจะขอให้สำนักงานจ้างบุคคลหรือสถาบันซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญดำเนินการในเรื่องนั้นได้ตามที่จำเป็น หรือในกรณีที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวแทนก็ได้ โดยต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและประสิทธิภาพที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ ก่อนการจ้างหรือแต่งตั้ง คณะกรรมการต้องกำหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ และระยะเวลาของการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว
ไว้ให้ชัดเจน
(๔)จากมาตราที่มีปัญหาว่า จะกระทบต่อความเป็นอิสระของกสม.ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มาตรา ๒๔๗ (๔) ชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องโดยไม่ชักช้าในกรณีที่มีการรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม มาบัญญัติขยายความเพิ่มตามมาตรา ๔๔ ร่างพรป.ฯโดยให้บันทึกในรายงานประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนประจำปีที่ต้องรายงานต่อรัฐสภาด้วย
มาตรา ๔๔ เมื่อความปรากฏแก่คณะกรรมการว่ามีการรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม คณะกรรมการต้องตรวจสอบและชี้แจงหรือจัดทำรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องของสถานการณ์นั้นโดยไม่ชักช้าเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป และให้สรุปไว้ในรายงานตามมาตรา ๔๐ วรรคหนึ่ง ด้วย
(๕) การบัญญัติที่จะก่อให้เกิดการตีความ หรือจำกัดเรื่องการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเกินขอบเขต โดยเฉพาะในมาตรา ๔๖ ห้ามมิให้ผู้ใดเปิดเผยข้อมูล…”ข้อมูลข่าวสารที่ได้มาเนื่องจากการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เว้นแต่เป็นการเปิดเผยข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจหรือตามกฎหมายหรือตามคำสั่งศาล” เพราะข้อมูลข่าวสารที่มีการตรวจสอบมีหลายลักษณะ และควรเป็นข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณะได้ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบคู่ขนานจากสังคมและสื่อ ควรต้องให้อำนาจกสม.กำหนดชั้นความลับด้วยตนเองในฐานะเป็นองค์กรอิสระที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมอยู่แล้ว
(๖)ความไม่เข้าใจและอคติต่อสิทธิมนุษยชน
รัฐธรรมนูญ ๖๐ กำหนดในมาตรา ๒๔๗ วรรคท้ายว่า “ในการปฏิบัติหน้าที่ กสม.ต้องคำนึงถึงความผาสุกของประชาชนชาวไทย และผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติเป็นสำคัญด้วย” แต่ร่างพรป. มาตรา ๒๕ กำหนดตามรัฐธรรมนูญ แล้วยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมไปอีกคือ “ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง กรรมการจะเข้ารับการศึกษาหรืออบรมในหลักสูตรหรือโครงการใด ๆ มิได้ เว้นแต่เป็นหลักสูตร หรือโครงการที่คณะกรรมการเป็นผู้จัดขึ้นโดยเฉพาะสำหรับกรรมการ และในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ต้องคำนึงถึงวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามและบริบทของสังคมไทยเป็นสำคัญด้วย”
๕)การถอยหลังเข้าคลองในการกำหนดให้สำนักงาน กสม.เป็นส่วนราชการ จากที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ กำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นนิติบุคคล ที่เปิดโอกาสให้สามารถพัฒนาโครงสร้างสำนักงาน บุคลากร และระเบียบต่างๆได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ไม่ได้กำหนดใดๆไว้ ให้ร่างพรป.สามารถกำหนดได้เอง ขณะที่ในปัจจุบันหน่วยงานของรัฐที่เป็นนิติบุคคลมีการพัฒนาไปมากมาย ยิ่งภารกิจส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนปัจจุบัน ยิ่งไม่ควรกำหนดให้เป็นส่วนราชการ
ข้อเสนอเหล่านี้หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการทบทวนพิจารณาของ กรธ. คณะรัฐมนตรี และ สนช. รวมทั้งต่อภาคประชาสังคมที่ต่อสู้ผลักดันให้มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ยี่สิบปีผ่านไป เราควรได้รับการยอมรับจากประเทศต่างๆ และองค์การสหประชาชาติมากยิ่งขึ้น มิใช่ถอยหลังจากเดิม