ถกจุดอ่อนจุดแข็ง 40 ปีขบวนแรงงาน

ATT_1436551025766_20150710_114757สำนึกอุดมการณ์แรงงานเปลี่ยนส่งผลต่อความเข้มแข็ง เสนอสร้างเอกภาพบนความแตกต่าง และเป็นสหภาพแรงงานเพื่อสังคม

เมื่อวันที่ 10 กรกฏาคม 2558 มูลนิธิอารณ์ พงศ์พงัน มูลนิธิไพศาล ธวัชชัยนันท์ มูลนิธินิคม จันทรวิทุร และมูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ร่วมกับโครงการพัฒนาผู้นำแรงงานเพื่อคุณภาพชีวิตและสังคม จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “40 ปีอดีต ปัจจุบัน อนาคต ขบวนการแรงงานไทย” ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ
รศ.ดร.นภาพร อติวานิชยพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักบัญฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปาฐกถาเรื่อง “เส้นทาง 40 ปี พัฒนาการขบวนการสหภาพแรงงาน ความสำเร็จ กับความล้มเหลว” ว่า ขบวนการแรงงานนั้นมีมานานแล้วไม่ใช่แค่ 40 ปี โดยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มีการรวมตัวในรูปแบบสมาคม ซึ่งมีความหลากหลายอาชีพ ทั้งปัญญาชน คนถีบสามล้อ กรรมกรรถราง ไม่ได้แบ่งว่าเป็นแรงงานในระบบ แรงงานจีน หรือแรงงานนอกระบบ และพระราชบัญญัติแรงงานฉบับแรกเกิดขึ้นในปี 2499 นับว่าเป็นกฎหมายแรงงานฉบับแรกของประเทศไทย การรวมกลุ่มของกรรมกรในอดีตนั้น ทำหน้าที่ในการคุ้มครอง ต่อรองเรื่องค่าจ้าง และยังขับเคลื่อนทางการเมือง เป็นการขับเคลื่อนที่เข้มแข็ง แต่ก็ถูกทำลายด้วยอำนาจเผด็จการทหารหลายครั้ง ทัังถูกจับกุมคุมขัง และประหารชีวิต
ในช่วง 40 ปีขบวนการแรงงาน ช่วงหลัง 14 ตุลาคม 2518 ที่ขบวนการแรงงานมีพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ 2518 ให้สิทธิในการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน เป็นตัวแทนในการเจรจาต่อรอง และเกิดองค์กรด้านแรงงานระดับชาติ เป็นยุคที่สหภาพแรงงานมีอุดมการณ์เพื่อสังคม เป็นการทำงานร่วมกันของผู้นำนักศึกษา ปัญญาชน ผู้นำแรงงานซึ่งจัดตั้งเป็นศูนย์ประสานงานกรรมกร ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของคนงาน มีการขับเคลื่อนทางการเมือง เรียกร้องเพื่อประชาชน  เช่นการนัดหยุดงานคัดค้านการขึ้นราคาข้าวสาร เหตุการณ์สำคัญคือการตั้งสภาแรงงานแห่งประเทศไทย เมื่อ 1 พฤษภาคม 2519 มีนายไพศาล ธวัชชัยนันท์ เป็นประธาน
ช่วงรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 รัฐบาลเผด็จการทหารมีการยุบสหภาพแรงงาน ผู้แรงงาน นักศึกษาประชาชนที่ขับเคลื่อนทางการเมืองต้องเข้าป่า แต่เป็นระยะสั้น ปี 2521 สหภาพแรงงานเริ่มฟื้นตัวขึ้นมา และตัังสภาองค์การลูกจ้างสหภาพแรงงานแห่งประเทศไทย ซึ่งยังคงทำหน้าที่ทางสังคม เช่น คัดค้านการขึ้นราคานำ้มัน ค่ารถเมล์
ยุคต่อมามีการตัังองค์กรแรงงานในรูปแบบกลุ่มสหภาพแรงงานย่านต่างๆเกิดขึ้น โดยทำหน้าที่ผลักดันให้สภาองค์การลูกจ้างที่ไม่ค่อยทำงานให้ทำงาน การทำงานขับเคลื่อนช่วงนั้นคือให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ คัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และคัดค้านสัญญาจ้างงานระยะสั้น ซึ่งเป็นผลกระทบต่อความมั่นคงในการทำงาน และเรียกร้องกฎหมายประกันสังคม ช่วงนั้นการเคลื่ออนไหวของขบวนการแรงงานเริ่มโดดเดี่ยว ออกจากขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม
20150710_094302
ต่อมาหลังรัฐประหาร รสช. เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นำไปสู่การเรียกร้องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร พ.ศ. 2540 ขบวนการแรงงานมีบทบาทต้านรัฐประหารและเข้าร่วมเรียกร้องรัฐธรรมนูญ 2540 ในการรัฐประหารปี 2549  มีการเคลื่อนไหวของสีเสื้อต่างๆ จนเกิดรัฐประหารปี 2557 ซึ่งจุดยืนและอุดมการณ์ในการขับเคลื่อนของขบวนการแรงงานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ผลจากวิกฤติเศรษฐกิจช่วงปี 2540 ทำให้เกิดการเลิกจ้างคนงานจำนวนมาก ส่งผลให้คนงานต้องออกนอกระบบการจ้างงาน กลับต่างจังหวัด หรือเป็นแรงงานนอกระบบ
การขับเคลื่อนของขบวนการแรงงานที่คิดว่าเป็นผลสำเร็จ คือ หลังเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานเคเดอร์ ที่คนงานต้องเสียชีวิตจำนวนมาก ส่งผลให้ขบวนการแรงงานมีการเคลื่่อนไหวเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนขององค์กรรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้น เช่นกลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี เครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย สมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ โลหะแห่งประทศไทย (Team) กลุ่มสหภาพแรงงาน เป็นต้น
การเคลื่อนไหวที่มองว่ายังไม่ประสบผลสำเร็จ คือ ความเป็นตัวแทนทางผลประโยชน์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งปัจจุบันระบบการจ้างงานเปลี่ยนไปจากเดิม มีการจ้างแรงงานที่หลากหลาย ทั้งแรงงานนอกระบบ แรงงานภาคบริการ แรงงานข้ามชาติ และเป็นฐานแรงงานขนาดใหญ่กว่าแรงงานที่มีการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน แต่ความเป็นตัวแทนทางผลประโยชน์ขององค์กรแรงงานยังทำหน้าที่เพียงในระบบแรงงานแบบเดิม มีเพียงองค์กรแรงงานบางองค์กรที่่มีการเรียกร้องแทนแรงงานนอกระบบ และแรงงานข้ามชาติบ้าง แต่องค์กรแรงงานส่วนใหญ่ยังไม่ทำหน้าที่
การรวมพลังองค์กรแรงงานเป็นขบวนเดียวซึ่งยังทำไม่ได้ ปรากฎการณ์เท่าที่เห็นคือการขาดผู้นำแรงงานที่รวมศูนย์แรงงานได้เหมือนกับยุค 14 ตุลาที่จะมีผู้นำแรงงานที่รวมศูนย์แรงงานเพื่อการเคลื่อนไหวเพื่่อสังคมและผลประโยชน์แรงงานได้
สุดท้าย สำนึกทางสังคม การแสดงบทบาททางสังคม ซึ่งหมายถึงประเด็นต่างๆที่มากกว่าตัวเรา แรงงานงานเองมีสำนึกทางการเมืองที่เข้าร่วมทางการเมืองช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจะไม่เหมือนช่วงพฤษภาทมิฬ การเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง มีสิ่งหนึ่งที่ขบวนการแรงงานที่จะทำร่วมกันกับกระบวนการทางสังคมคือ ขบวนการแรงงานต้องไม่โดดเดี่ยวตัวเองออกจากสังคม โดยอาจเริ่มจากชุมชนใกล้โรงงานของตัวเอง
ATT_1436551038205_20150710_105323
นางสุนี ไชยรส นักกิจกรรมทางสังคม กล่าวถึง 40 ปีขบวนการแรงงาน จากบทเรียนและประสบการณ์ 3 ประสาน กรรมกร ชาวนา นักศึกษา สู่ขบวนการประชนร่วมสมัยว่า การเคลื่อนไหวของนักศึกษาในยุค 14 ตุลาที่มีประชาชนเข้าร่วมเคลื่อนไหวกว่า 5 แสนคน เป็นการทำงานของนักศึกษาที่ทำงานวิเคราะห์สังคม ความเดือดร้อนของประชาชน แรงงาน ชาวนา การลุกขึ้นมาเรียกร้องค่าจ้างขั้นต่ำได้ 20 บาท ขบวนนักศึกษา ขบวนแรงงาน ได้ร่วมกันตั้งศูนย์ประสานงานกรรมกร เพื่อทำหน้าที่เคลื่อนไหว ชาวนาก็ลุกขึ้นสู้ ทั้งสามส่วนจนรัฐตั้งข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในช่วง 6 ตุลาคม 2519 จนต้องหนีเข้าป่า
ช่วงพฤษภาทมิฬ ขบวนการขับเคลื่อนของ 3 ประสานไม่ได้เกิดขึ้นอีก การทำงานต้องมีเป้าหมายร่วมกัน มีการเรียนรู้ ขบวนการ 3 ประสานที่เกิดขึ้นและเติบโตในยุคนั้น การทำงานของนักศึกษาต้องมีการเรียนรู้ ทำความเข้าใจ ทำข้อมูล ทำงานกับขบวนการแรงงาน ขบวนการชาวนา ปัจจุบันไม่มีการทำงานแบบเดิมไม่เห็นการทำงานของนักศึกษากับขบวนการแรงงาน แม้แต่การเคลื่อนไหวประกันสังคม ค่าจ้างขั้นต่ำ ขบวนการแรงงานต้องยกระดับที่ไม่ใช่ความขัดแย้งกับนายจ้าง แต่ต้องเคลื่อนกับนโยบายรัฐและกฎหมาย และต้องทำงานกับปัญญาชน ต้องมองหาจุดร่วมในการขับเคลื่อนร่วมกัน ต้องส่งเสริมระบบพหุภาคี ไม่ใช่ไตรภาคีเหมือนปัจจุบัน ทำงานร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชน(NGOs)ด้วย
นายไพบูลย์ แก้วเพทาย มูลนิธิไพศาล ธวัชชัยนันท์ กล่าวถึงมรดกทางความคิดของไพศาล ธวัชชัยนันท์ และอารมณ์ พงศ์พงันว่า ในยุคนั้นผู้นำแรงงานมีจุดยืนที่ชัดเจนด้วยจิตวิญญาณ จิตสำนึกนักสู้ เพื่อสิทธิ เสรีภาพ จนตัองติดคุก การต่อสู้ที่แหลมคม ทำงานเคลื่อนไหวเพื่อสังคม เช่น คัดค้านการขึ้นราคาข้าวสาร รณรงค์คัดค้าน ข้าวสารแพง ค่าแรงถูก การระดมคนมาชุมนุมที่ท้องสนามหลวงเพื่อต่อสู้เพื่อสังคม การต่อสู้เพื่อผลประโยชน์แรงงานเรื่องค่าจ้าง และกฎหมายประกันสังคม ที่มีการเจรจากับรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุนหะวัณ เป็นผู้นำที่มีจิตสำนึกทางชนชั้น มีจริยธรรม คุณธรรม มีความรู้โลกทัศน์ชัดเจนเป็นต้น
นายวิชัย นราไพบูลย์ จากพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย นำเสนอว่า ในอดีตผู้นำแรงงานส่วนใหญ่มีอุดมการณ์สังคมนิยม ขบวนการแรงงานจึงเรียกร้องปัญหาใหญ่ทางสังคม เช่น การต่อต้านระบบจักรวรรดินิยมที่ชอบทำสงคราม สู้เรื่องสันติภาพ ปัญหาชาวบ้านก็เช่น การค้ดค้านการขึ้นราคาข้าวสาร น้ำมัน ค่ารถเมล์ ไม่เหมือนในปัจจุบันที่การทำงานอยู่เพียงในองค์กรตัวเอง เรียกร้องในประเด็นเฉพาะตัวเอง เช่น ค่าจ้าง โบนัส ซึ่งเปรียบเหมือนกบในกะลา ที่ไม่ได้ออกไปมองโลกภายนอก
ช่วง 14 ตุลา การต่อสู้นัดหยุดงานของแรงงานที่เกิดหลายร้อยครั้งชนะเกือบทุกครั้ง เพราะนายจ้างช่วงนั้นยังไม่ได้เตรียมตัว ซึ่งเดิมความเข้มแข็งมาจากการรวมคนทุกสาขาอาชีพแบบไม่แบ่งแยก แต่พลังก็ถูกทำลายโดยอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมและอุดมณ์การทุนนิยม รัฐใช้อำนาจเผด็จการแบ่งแยกแล้วปกครอง แบ่งแยกและทำลาย มีกฎหมายเช่นแรงงานสัมพันธ์ 2518 ส่งผลให้แรงงานส่วนใหญ่ถูกแยกออกจากที่เคยรวมตัวเป็นองค์กรเดียวกัน และต่อมาก็ออกกฎหมายแยกแรงงานรัฐวิสาหกิจ ทำให้การเคลื่อนไหวของแรงงานเป็นกลุ่มเล็กลงขาดพลัง และถอยห่างจากอุดมการณ์เดิม ขาดการถ่ายทอดประสบการณ์ผู้นำรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่
ข้อเสนอคือ ขบวนการแรงงานต้องสร้างความเป็นเอกภาพบนความแตกต่าง การรวมองค์กรอาจยาก ก็เริ่มจากการร่วมกันสร้างเอกภาพในการเคลื่อนไหวประเด็นร่วม และต้องเปิดมุมมองที่ไกลกว่าการทำงานสหภาพแรงงาน
นายบรรจง บุญรัตน์ ประธานสภาองค์การลูกจ้างศูนย์กลางแรงงานกล่าวว่า  สหภาพแรงงานที่เกิดขึ้นกว่า 1,000 แห่งเกิดจากความเดือดร้อน เกิดแรงกดดัน ซึ่งช่วงก่อตั้งมีทั้งรอดและไม่รอดต้องถูกเลิกจ้าง และคนงานส่วนใหญ่ยังคิดเพียงทำงานหาเงิน เมื่อก่อนแม้การสื่อสารจะไม่รวดเร็วเหมือนปัจจุบัน แต่กลับมีความเข้มแข็งมากกว่าปัจจุบันที่มีการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย การเดินทางที่สะดวกกว่า ข่าวสารที่เสนอกลับไม่ใช่ข่าวที่มีสาระมีข้อมูลพอที่จะสร้างอุดมการณ์ได้เหมือนอดีตที่ถ่ายทอดกัน การทำงานอดีตก็เป็นเรื่องอุดมการณ์ ไม่เหมือนปัจจุบันที่ต้องใช้เงินมากขึ้น ด้วยปัญหาที่ตัองมีค่าใช้จ่ายที่่สูงขึ้น
ตราบใดที่การทำงานของขบวนการแรงงานยังคงแยกกันเดิน แยกกันยื่นข้อเรียกร้องแม้ว่าจะเป็นข้อเรียกร้องเดียวกัน แม้แต่วันแรงงานแห่งชาติยังคงต่างคนต่างเดิน และรัฐวิสาหกิจต้องแยกออกจากเอกชนด้วยกฎหมาย ความเป็นขบวนเดียวกันยังไม่เกิด ก็คงยังอ่อนแอ จึงอยากเห็นความเป็นเอกภาพของแรงงานที่เดินไปเป็นขบวนเดียวกัน
นายชาลี ลอยสูง รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า การถูกตัดขาดออกจากกันของแรงงานเมื่อมีกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ส่งผลให้มีการตัดขาดขบวนการแรงงานออกจากกันนั้น สร้างความอ่อนแอให้กับกระบวนการขับเคลื่อนของขบวนการแรงงาน ฉะนั้นคนรุ่นใหม่ต้องเสียสละ ต้องมีความสุจริต รักความเป็นธรรม ต้องยืนอยู่ข้างหลักความถูกต้อง และต้องสร้างความรู้ให้กับสมาชิก เพื่อสร้างความรับรู้และมีส่วนร่วม
นายยงยุทธ เม่นตะเภา ประธานสมาพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (CILT) กล่าวว่า สหภาพแรงงานต้องสร้างเอกภาพเชิงปริมาณ จัดเก็บค่าบำรุงเป็นแบบเปอร์เซนต์เพื่องบประมาณในการบริหาร ต้องรวมคน รวมเงิน และการบริหารจัดการเข้าด้วยกัน ซึ่งตอนนี้ TEAM ได้ร่วมกันสร้างศูนย์ฝึกอบรม และมีแนวคิดว่าต้องตั้งสหกรณ์และมูลนิธิเพื่อความยั่งยืน
วาสนา ลำดี รายงาน