ครส.กลับมติปรับเงินเดือนรัฐวิสาหกิจ เลขาธิการสรส.จวกไม่เคารพกติกา

20160824_130339

เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ แจงการปรับค่าจ้างไม่ตรงตามข้อเสนอ กังวลกระบวนการกฎหมายถูกแทรกแซง ไม่เป็นไปตามกติกาสากล หลังคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจกลับมติปรับขึ้นเงินเดือน

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2559 นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กถึงประเด็นข่าวปรับขึ้นค่าจ้างพนักงานรัฐวิสาหกิจว่า มิได้เป็นไปตามที่ สรส.เสนอการปรับเงินเดือน หลังจากที่ข้าราชการปรับและรับเงินไปแล้วนับแต่ 1 ธันวาคม 2557 ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจในฐานะลูกจ้างภาครัฐควรได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านความเห็นคณะกรรมการไตรภาคี ที่เรียกว่า คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครส.)ไปเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2559 โดยในครั้งนั้นมีมติว่า ลูกจ้างที่มีเงินเดือน ตั้งแต่ 43,890 บาท ลงมา ให้ปรับคนละ 1 ขั้น สำหรับรัฐวิสาหกิจ (รสก.)ที่ขึ้นเงินเดือนเป็นแบบขั้น และปรับ 4% สำหรับ รสก.ที่ปรับเงินเดือนเป็น % ส่วนที่เกินกว่านั้นปรับขึ้นคนละ 0.5 ขั้นและ 2% แต่เรื่องดังกล่าวยังไม่ทันเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งกลับมาให้กระทรวงแรงงานและ ครส.ทบทวนใหม่ และ ครส.มีการประชุมแล้วกลับมติใหม่ในคราวประชุมเมื่อ 30 กันยายน 2559 ตามที่ปรากฏเป็นข่าว

สรส.ในฐานะผู้เสนอเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างครั้งแรกตั้งแต่ต้นปี 2558 ต้องการที่จะให้มีการปรับเงินเดือนแก่ลูกจ้าง รสก.ทุกคนๆละ 1 ขั้น/4% แต่เมื่อมติออกมาเป็นเช่นนี้ ก็เคารพในการตัดสินใจของกรรมการไตรภาคีแต่สิ่งที่น่ากังวลต่อไป คือกระบวนการขั้นตอนทางกฎหมายถูกแทรกแซงโดยรัฐ มิได้เป็นไปตามหลักกติกาสากล ซึ่งปัจจุบันมีหลายเรื่องที่ รัฐและกลไกรัฐพยายามที่เข้ามา ควบคุม กำกับอย่างเข้มข้น จนทำให้องค์กรของลูกจ้าง สหภาพแรงงาน อ่อนแอ ทั้งในเรื่องการบริหารจัดการของสหภาพแรงงาน เลยไปถึงประชาธิปไตยในสหภาพแรงงาน ไม่ยึดหลักมติของสมาชิกสหภาพแรงงาน ใช้เงื่อนไขทางกฎหมายทำลายมติเสียงส่วนใหญ่ของสหภาพ สร้างความเสียหาย ให้แก่สหภาพแรงงาน เป็นเรื่องที่น่ากังวลยิ่งต่อสถานการณ์ที่กล่าวมา ซึ่ง สรส.จะได้หารือกันต่อไปว่าจะดำเนินการเรื่องนี้และก่อนหน้านี้อย่างไร?

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2559 โพสต์ทูเดย์ออนไลน์รายงานว่า  แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครส.) ครั้งที่ 8/2559 ซึ่งมีตัวแทนฝ่ายภาครัฐ ผู้แทนนายจ้าง และลูกจ้างเข้าประชุมโดยมี พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานนั้น ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกันให้ขึ้นเงินเดือนรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นไปตามที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเห็นชอบ สำหรับการปรับขึ้นเงินเดือนรัฐวิสาหกิจ ขั้นตอนต่อไปจะต้องส่งให้ทางคณะรัฐมนตรี (ครม.)พิจารณาเห็นชอบอีกครั้งหนึ่งก่อนประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ซึ่งถ้า ครม. มีมติเห็นชอบจะมีผลย้อนหลังไม่ก่อนวันที่ 1 ธ.ค.57

“สำหรับหลักการขึ้นเงินครั้งนี้สืบเนื่องจากที่ ครม. มีมติขึ้นเงินเดือนข้าราชการเมื่อเดือน ธ.ค. 57 ที่ให้ข้าราชการที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 43,600 บาทขึ้นเงินเดือน 4% จากนั้นต่อมาภาครัฐวิสาหกิจได้ร้องขอมาให้มีการปรับขึ้นเดือนเช่นกันแต่ต่อมาที่ประชุม ครส.ก็ได้ศึกษาพิจารณามาโดยตลอด ซึ่งในวันนี้ที่ประชุม ครส.ได้เคาะเป็นครั้งสุดท้ายให้ขึ้น ส่วนจะขึ้นตามที่เคยมีมติเมื่อวันที่ 25 ก.พ. หรือไม่นั้น ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะได้มีการทบทวนในหลักการดังกล่าว แต่ยันยันที่ประชุมวันนี้มีมติขึ้นเงินเดือนรัฐวิสาหกิจแล้ว” แหล่งข่าว ระบุ

ด้านนายมานพ เกื้อรัตน์ รองเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ (สรส.) เปิดเผยว่า จากที่มีมติวันนี้ส่วนตัวพอทราบล่วงหน้าแล้วว่า  ผลการทบทวนถือว่าไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ ครส.เคยมีมติในเรื่องการปรับขึ้นเงินเดือนไปแล้วเมื่อวันที่25 ก.พ.59 และได้นำเสนอไปที่ ครม. ก่อนนำกลับมาศึกษาทบทวนอีกครั้ง แต่วันนี้ผลการทบทวนไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะเท่าที่ทราบคณะกรรมการรัฐที่มีไตรภาคีในส่วนรัฐบาล ตัวแทนนายจ้าง ลูกจ้าง ฯลว่าการทบทวนครั้งนี้ถือเป็นการละเมิดและแทรกแซง ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะมีการพูดคุยเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินการอีกครั้ง

“ข่าวล่าสุดที่ได้รับมาเมื่อคืน การทบทวนอาจเป็นปัญหาสำหรับไตรภาคีในประเทศไทย เพราะ เบื้องต้นที่เท่าที่ทราบข่าวมา มีมติตั้งฐานเงินเดือนอยู่ที่ 43,890บาท ถ้าต่ำกว่านี้ให้ขึ้นเงินเดือน 2% หรือ 0.5ขั้น แต่ถ้าฐานเงินเดือนมากกว่าฐานที่ตั้งไว้จะไม่มีการปรับใดๆทั้งสิ้น ฉะนั้น สรส. จึงคิดถ้าเป็นเช่นนี้ทาง สรส.จะมีการหารือกันก่อนเพื่อดำเนินการอย่างไรต่อไป”รองเลขาธิการ สรส.

สำหรับมติ ครส. ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ก.พ.59 มีมติ ให้ค่าพนักงานที่ค่าจ้างไม่เกิน 43,890 บาท ให้มีการปรับขึ้น 4% หรือเพิ่ม 1 ขั้น แต่ถ้าหากค่าจ้างตั้งแต่ 43,891 – 113,520 บาท ให้ปรับขึ้น 2% หรือเพิ่ม 0.5 ขั้น