จากการที่สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย ในสมัชชาคนจน ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่1 ไปเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2555 เพื่อเสนอให้ผู้เกี่ยวข้องช่วยให้คนงานที่ประสบอันตรายและเสียชีวิต ได้สิทธิตามกฎหมายและชดเชยการสูญเสียรวมทั้งการตรวจสอบต่อเหตุการณ์ระเบิดของโรงงานบริษัทกรุงเทพ ซินธิติกส์ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบพุดวันที 5 พฤษภาคม 2555 ที่ทำให้คนงานเสียชีวิต 12 ศพ บาดเจ็บร้อยกว่าคนขณะเดียวกันวันที่ 6 พฤษภาคม 2555 โรงงานอดิตตยา เบอร์ล่าเคมีคัลส์ (ประเทศไทย)สารเคมีรั่วไหล ข้อหารือกันในวงประชุม วันที่ 15 พฤษภาคม 2555 เรื่อง “การสื่อสารความเสี่ยงเพื่อสุขภาพคนมาบตาพุด ครั้งที่ 2” ที่วัดหนองแฟบ จ.ระยอง จัดโดยหลายองค์กร มีนักวิชาการ และองค์กรพัฒนาเอกชน
เครือข่ายฯได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า BST.มีคนงานที่เป็นพนักงานซัฟคอนแทร๊กและคนงานข้ามชาติอยู่ด้วย และจำนวนคนงานที่เสียชีวิตจริงๆ น่าจะมากว่า 12 ศพ ตามที่เป็นข่าวถึง 5 เท่า คนเจ็บป่วยมีอาการอย่างไรมีจำนวนเท่าไหร่ ทราบว่าคนงานบางคนแก้วหูแตกมีเลือดออกมาทันทีด้วย และขณะเหตุเกิดแล้ว อธิบดีกรมควบคุมมลพิษไม่สามารถเข้าไปในบริเวณโรงงานได้ จึงเพียงแต่วัดมลพิษหน้าประตูโรงงานและข่าวทางการพยายามพูด ว่าสารทูโลทีนสลายไปแล้ว ไม่มีพิษภัย แล้วกรมสวัสดิการสำนักความปลอดภัยแรงงานได้เข้าไปด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะได้บังคับใช้ กฎหมายความปลอดภัยกับนายจ้างหรือยัง คำชี้แจงจากนักวิชาการเชี่ยวชาญสารเคมี อธิบายว่าถ้าสารทูโลทีนถูกเผาไหมเป็นควันดำเป็นสารที่มีพิษและส่งผลให้เกิดมะเร็งภายหลังได้ หลายคนสงสัยว่า กฎหมายยังไม่สามารถบังคับใช้ได้ แล้วจะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้อย่างไรในกรณีเช่นนี้
ทางเครือข่ายยังทราบข้อมูลว่า ขณะเกิดเหตุโรงงานระเบิดที่ BST มีคนงานซัฟฯ และ อาจมีคนงานข้ามชาติ ที่น่าจะประสบอันตราย หรือเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง กรณีนี้มีข้อเท็จจริงอย่างไร ใครรับผิดชอบค่าเจ็บป่วยประสบอันตรายหรือเสียชีวิตและปัจจุบันผู้มีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างไร ต่อสิทธิอันชอบธรรมขั้นพื้นฐานตามกฎหมายของคนงานดังกล่าว การที่คนงานประสบอันตรายจากแรงระเบิดและสารเคมีรั่วไหล ทางโรงงานได้แจ้งบัญชีรายชื่อหรือกรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงานและสำนักงานกองทุนเงินทดแทนตรวจสอบข้อเท็จหรือยัง ผลเป็นอย่างไร เพื่อเป็นหลักฐานเรื่องการประสบอันตรายจากการทำงาน ณ.ขณะเกิดเหตุระเบิด
โรงงานใกล้เคียงกันห่างไม่ถึง 200 เมตร กลับมีการให้คนงานเข้าไปทำงานต้องสูดเอาควันพิษเข้าไปในปอดซึ่งอาจเสี่ยงตาย ในขณะที่คนอื่นๆต่างหนีตายเพื่อความปลอดภัย การปฏิบัติเช่นนี้กับลูกจ้าง ถือเป็นความผิดหรือไม่ รวมทั้งนายจ้างจะต้องรับผิดชอบกับการตรวจเช็คสุขภาพคนงานแบบอาชีวเวชศาสตร์หรือไม่ แต่คนงานได้เล่าว่า โรงงานให้ตรวจปัสสาวะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คนงานอยากเรียกร้องให้นำแพทย์อาชีวเวชศาสตร์เข้าตรวจสุขภาพคนงานทั้งหมดในสถานประกอบการโดยเร่งด่วน
ผลกระทบต่อสุขภาพชุมชน สิ่งแวดล้อมล้อมชุมชนทางโรงงานจำเป็นต้องมีมาตรการรับผิดชอบตาม พระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อม 2535 แต่หลังเกิดเหตุชาวบ้านเล่าว่า แม้แต่คำขอโทษของทั้งสองโรงงานก็ยังไม่มีชาวบ้านมีอาการป่วยคันแสบจมูก กับถูกบ่ายเบี่ยงบอกว่ามีโรงงานอื่นๆตั้งเยอะแยะ
เหตุการณ์ร้ายแรงขนาดนี้ในนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ความเสี่ยงภัยสารเคมีสูงสูงทำไมไม่มีสัญญาณเตือนภัยเกิดขึ้น เพราะโรงงานก็คิดว่ายังเอาอยู่ ทำให้ทุกคนสับสน แม้แต่หมอพยาบาลก็ยังไม่ทราบว่าสารอะไรระเบิด อะไรรั่วไหลทำให้การรักษาไม่ถูกทางได้ หากเป็นสารร้ายแรงถึงชีวิตจะช่วยทันย่างไร นักวิชาการพูดว่าถ้าบังเอิญเอาไม่อยู่ทูโรทีน 2-3 ถังระเบิดขึ้นมาพร้อมกันแรงระเบิดจะไปไกลถึง 2 กิโลเมตร แล้วคนในชุมชนจะหนีทันได้อย่างไร รวมทั้งแผนซ้อมหนีภัยมีรถมารอรับนะจุดรวมพล แต่พอระเบิดขึ้นจริงๆกลับไม่มีรถมารับสักคันเดียว
ดังนั้นที่ความเข้าใจที่สังคมส่วนใหญ่มักพูดเสมอว่านิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหา แต่ความจริงแล้ว นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ขาดการควบคุมจากกฎหมายมากที่สุด ทั้งยังขาดการจัดตั้งองค์กรสหภาพแรงงานที่จะมาเป็นปากเป็นเสียงและคุ้มครองผลประโยชน์ให้กับผู้ใช้แรงงานในนิคมอีกด้วย
ข้อเสนอเร่งด่วนดังนี้
1.ขอวันเข้าพบรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานเพื่อหารือและรับฟังข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ดังกล่าว
2. ขอทราบผลการตรวจสอบสถานการณ์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นดังกล่าว จากกระทรวงแรงงานและจำนวนตัวเลขที่แจ้งต่อ กองทุนเงินทดแทนประกันสังคม
3. ให้คนงานที่บาดเจ็บและเสียชีวิตในครั้งนี้ได้เข้าถึงสิทธิการดูรักษาอย่างดีและได้เข้าถึงสิทธิตามกฎหมายกองทุนเงินทดแทน /หากมีคนงานข้ามชาติหรือคนงานซัฟคอนแท๊ก ได้รับการประสบอันตรายหรือเสียชีวิตจริงต้องเร่งรัดให้นายจ้างปฏิบัติในมาตรฐานเท่าเทียมกันไม่เลือกปฏิบัติ
4. ให้นายจ้างจ่ายเงินชดเชยเพื่อแสดงความรับผิดชอบนอกเหนือกฎหมาย
5. ให้ตรวจสอบสถานประกอบการณ์ที่มีอันตรายสูงโดยเร่งด่วนและยุติการผลิตจนกว่าจะปรับปรุงแก้ไขให้ปลอดภัย
6. ขอสนับสนุนข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลของนายสุทธิ อัธญาศัย ทั้ง 9 ข้อที่ยื่นต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในวันนี้
ข้อเสนอในระยะยาว ดังนี้
1. รัฐต้องมีนโยบายแผนงานแห่งชาติพัฒนาระบบงานอาชีวเวชศาสตร์เพื่อให้มีการผลิตบุคลกรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาอาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอในระยะยาว การจัดตั้งคลินิกโรคจากการทำงาน ที่ต้องคำนึงถึงมาตรฐาน การจัดบริการที่สามารถทำให้ลูกจ้าง นายจ้างเข้าถึงได้ง่าย
2. ต้องมีนโยบายชัดเจนที่จะพัฒนาส่งเสริมป้องกันการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการทำงานเพื่อลดการสูญเสียในอนาคตของลูกจ้าง นายจ้างลดรายจ่ายการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทน
3. ต้องให้มีนโยบายส่งเสริมเรื่องตรวจสุขภาพลูกจ้าง ที่สอดคล้องกับปัจจัยเสี่ยงในการทำงานตามกฎกระทรวงอย่างต่อเนื่องโดยลูกจ้างมีสิทธิเลือกแพทย์สถานพยาบาล.เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นใจของลูกจ้าง
4. รัฐบาลลงสัตยาบันต่ออนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศที่จำเป็นต่อบริการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน ดังนี้
– ฉบับที่ 155 ว่าด้วย ความปลอดภัยในการทำงานและอาชีวอนามัย ค.ศ.1981 (พ.ศ.2524)
– ฉบับที่ 161 ว่าด้วย การบริการอาชีวอนามัย ค.ศ.1985 (พ.ศ.2528)
– ฉบับที่ 187 ว่าด้วยกรอบงานส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงานและอาชีวอนามัย ค.ศ.2006 (พ.ศ.2549)
5. ร่วมกับเครือข่ายแรงงาน สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยงานจากการฯ องค์กรนายจ้าง องค์กรลูกจ้าง และภาคีเครือข่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สถาบันการศึกษาที่ผลิต/อบรมบุคลากรด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทวงอุตสาหกรรม และกระทรวงอื่นๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับ ร่วมกันพัฒนารูปแบบการทำงาน ด้านอาชีวอนามัยฯ เพื่อนำไปสู่ “วัฒนธรรมความปลอดภัย” ในการทำงาน
6. การบังคับใช้กฎหมาย พรบ.ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างจริงจัง
7. เร่งจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เป็นองค์กรมหาชน มีส่วนร่วม และ บูรณาการ มาทำงานด้านการคุ้มครองสุขภาพและความปลอดภัยในการทำงาน ให้กับแรงงานไทย โดยเน้นมีศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์และ โครงสร้างกรรมการต้องมาจากการสรรหา
8. การงดใช้แร่ใยหิน ชดเชยผู้ป่วย
9. จัดตั้งกองทุนความเสี่ยงผู้ประสบภัยจากการทำงานและมลพิษสิ่งแวดล้อม
ณ.วันที่ 16 พฤษภาคม 2555