342 องค์กรแถลงการณ์ “สวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า   :  สู่ความหวังกับรัฐบาลใหม่

แถลงการณ์ “สวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า   :  สู่ความหวังกับรัฐบาลใหม่ จากคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า 342 องค์กร

       จากการยุบสภาผู้แทนฯ วันที่ 20 มีนาคม 2566        คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า  342 องค์กรทั่วประเทศ ขอสรุปสถานการณ์ปัญหาสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าจากรัฐบาลชุดเดิม และข้อเสนอที่คณะทำงานฯขับเคลื่อนต่อเนื่องต่อพรรคการเมืองต่างๆมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 
โดยมีผลการตอบรับของพรรคการเมืองล่าสุดในวันที่ 20 มีนาคม 2566 โดยหวังว่าการเลือกตั้งของประชาชนจะมีผลให้รัฐบาลชุดใหม่และนโยบายทุกพรรคการเมืองพัฒนานโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า  
ให้เด็กเล็กได้รับสวัสดิการและการคุ้มครองทางสังคมจากรัฐตามพันธกรณีระหว่างประเทศและรัฐธรรมนูญ   เพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กเล็กตั้งแต่ในครรภ์- 6 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดในการวางรากฐานเพื่อเจริญเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งทางร่างกายและสมองของเด็กทุกคน ยังส่งผลสำคัญต่อการทำงานมีรายได้ของพ่อแม่  และปู่ย่าตายายที่ต้องเลี้ยงหลาน ซึ่งปัจจุบันเกิด”ครอบครัวแหว่งกลาง”จำนวนมาก

 หลักสวัสดิการเด็กเล็ก 0-6 ปี ถ้วนหน้า :  เด็กเท่ากัน

        รัฐต้องสร้างระบบสวัสดิการสังคมและพัฒนาไปสู่รัฐสวัสดิการในอนาคต  ที่ต้องลดความเหลื่อมล้ำ  ให้ก้าวผ่านความยากจนข้ามรุ่น  และหยุดวิกฤติด้วยการสร้างอนาคตให้เด็กเล็กทุกคนบนแผ่นดินไทย ตั้งแต่ครรภ์มารดาถึง 6 ปี ให้สามารถเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ มีพัฒนาการทางร่างกายและสติปัญญาเพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และสวัสดิการถ้วนหน้าคือสิทธิเด็ก ไม่ใช่การสงเคราะห์ความยากจน

สถานการณ์จากรัฐบาลชุดเดิม

       1) โครงสร้างประชากร “เด็กเกิดน้อยลงในสังคมผู้สูงอายุ”  ปี 2562 มีเด็ก 0-6 ปี  4.65 ล้านคน   ปี 2564 มีเพียง 4.28 ล้านคน ขณะที่เด็กเกิดใหม่ร้อยละ 6.48 มีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน แม่ที่ตั้งครรภ์ร้อยละ 40 ไม่ได้ทำงานทำให้ขาดรายได้ในการนำมาดูแลครรภ์อย่างเหมาะสม  และพบว่าเด็กร้อยละ 60 อยู่ในครัวเรือนที่รายได้ไม่พอเพียงสำหรับการเลี้ยงดูเด็กให้เรียนจบปริญญาตรี   ยิ่งสถานการณ์โควิด-19   ซ้ำเติมโครงสร้างรายได้เดิมที่มีความเหลื่อมล้ำให้ยิ่งหนักหน่วง การดูแลเด็กเล็กให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดจึงเป็นหน้าที่สำคัญ ของรัฐ  และเพื่อเป็นหลักประกันจูงใจให้มีบุตรมากขึ้น

       2) แม้ว่าระบบสวัสดิการสังคมของไทยยังต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปสู่รัฐสวัสดิการที่สมบูรณ์ขึ้น  แต่อย่างน้อยที่สุดมีการผลักดันยาวนานจนเป็นที่ยอมรับในหลักการ “สวัสดิการถ้วนหน้า” เช่น เบี้ยผู้สูงอายุ คนพิการ เรียนฟรี12 ปี บริการสุขภาพถ้วนหน้า โดยไม่ต้องมาตรวจสอบถึงความรวยความจน แต่รัฐบาลกลับเลือกปฏิบัติต่อเด็กเล็ก โดยต้องตรวจสอบความจนและมีผู้รับรองสองคน (“ตีตราคนจน” ) จึงเป็นช่องโหว่ที่ไม่จัดสวัสดิการให้เด็กเล็กถ้วนหน้าอยู่กลุ่มเดียวทั้งที่จำเป็นอย่างยิ่ง  

       3) การผลักดันของภาคประชาสังคมจนรัฐบาลให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดมาตั้งแต่พ.ศ. 2559  และในปัจจุบันให้เงินอุดหนุนเด็กอายุ 0 – 6 ปีรายละ 600 บาทต่อเดือน แต่กำหนดเฉพาะครอบครัวยากจนรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี   ทั้งที่คณะกรรมการส่งเสริมเด็กและเยาวชนแห่งชาติ(กดยช)  ที่มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีหลายกระทรวงและผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการ  มีมติให้รัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า 0-6ปีเดือนละ 600 บาท ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2564  แต่รัฐบาลไม่จัดงบประมาณ ทำให้ปัจจุบันจะมีเด็กเล็กได้รับเงินอุดหนุน 600บาทเพียง 2.2 ล้านคน  จาก 4.28 ล้านคน  ขณะที่จากการศึกษาของ TDRI    พบว่ามีเด็กเล็กตกหล่นไม่ได้รับเงินอุดหนุนร้อยละ 30 ของครัวเรือนที่เข้าข่ายมีสิทธิรับเงินอุดหนุน ซึ่งการให้แบบถ้วนหน้าเท่านั้นจึงจะสามารถขจัดการตกหล่นได้

        4) ผลการศึกษาของวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับมูลนิธิเอเชีย พบว่า เด็กเล็ก 0-6 ปี มากกว่า 4.2 ล้านคน มีโอกาสได้เข้าเรียนรู้ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก  และโรงเรียนอนุบาลที่รัฐสนับสนุน ครู อาหารกลางวัน นม เพียง 2.4 ล้านคน อีกทั้งมีข้อจำกัดที่รับเด็กส่วนใหญ่ 2 ขวบครึ่ง เวลาเปิดปิดเป็นเวลาราชการ จึงเป็นอุปสรรคต่อครอบครัวที่พ่อแม่ต้องทำงาน พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือครอบครัวแหว่งกลาง  ที่ต้องให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงดูหลาน  เด็กเล็กจำนวนมากขาดโอกาสที่จะได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่  ขาดโอกาสได้รับการพัฒนา ดูแล และเรียนรู้ ในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่รัฐสนับสนุนมากกว่า 2 ล้านคน

ข้อเสนอปัจจุบันสำหรับรัฐบาลชุดใหม่

        1. สวัสดิการเด็กเล็กต้องถ้วนหน้า เด็กเล็กทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยได้รับสวัสดิการ/การคุ้มครองทางสังคมตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ – อายุ 6 ปี  ระหว่างแม่ที่ตั้งครรภ์จะได้รับการดูแลสุขภาพทั้งแม่และเด็ก   พ่อแม่ได้รับสิทธิการลามาเลี้ยงดูลูกอย่างน้อย 180 วัน  และต้องได้รับเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้าจากรัฐคนละ 3,000 บาทต่อเดือน  เป็นค่าใช้จ่ายจําเป็นขั้นพื้นฐานในการเลี้ยงดู ตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ – อายุ 6 ปี
        2. รัฐสนับสนุน  ส่งเสริมศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก/สถานรับเลี้ยงเด็ก/โรงเรียนอนุบาล   ให้สามารถรับเด็กเล็กตั้งแต่ 6 เดือน เพื่อพ่อแม่สามารถไปทำงานได้  โดยมีความหลากหลายรูปแบบ         และเวลาปิดเปิดต้องสอดคล้องกับวิถีการทำงานของพ่อแม่หรือผู้ปกครอง โดยสนับสนุนการกระจายอำนาจอย่างจริงจัง

ผลตอบรับของพรรคการเมือง

       เมื่อใกล้จะมีการเลือกตั้ง คณะทำงานขับเคลื่อนสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า  342  องค์กรทั่วประเทศ ได้เข้าพบหารือตามข้อเสนอต่อผู้บริหารพรรคการเมือง 15 พรรคในช่วงพฤศจิกายน 2565 และคณะทำงานฯจัดเวทีฟังเสียงภาคประชาสังคม ฟังพรรคการเมือง 3 ครั้ง ที่กรุงเทพฯ 21 พฤศจิกายน 2565  ( 10พรรค)  เวทีที่ภาคใต้ อ.หาดใหญ่ 31 มกราคม 2566 (  10 พรรค) และเวทีภาคเหนือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 25กุมภาพันธ์ 2566  (11 พรรค) นอกจากนี้ คณะทำงานฯได้เข้าร่วมนำเสนอนโยบายนี้ในเวทีองค์กรผู้หญิง”การเมืองดี ต้องมีสตรีร่วมร่าง”  วันที่ 14 มีนาคม 2566 และเวทีเจาะลึกทั่วไทยของสื่อ ในวันที่ 20 มีนาคม 2566 จึงขอเสนอสรุปนโยบายของพรรคการเมือง 15 พรรคจากเวทีต่างๆ (ข้อมูล ณ วันที่ 20 มีนาคม 2566)    

        หวังอย่างยิ่งว่า แต่ละพรรคการเมืองจะพัฒนานโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า อันเป็นพื้นฐานอนาคตของเด็ก และส่งผลต่อทุกช่วงวัย ทุกกลุ่มอาชีพให้ดียิ่งๆขึ้นก่อนวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจากประชาชน