1พ.ค.แรงงานหวังปฏิรูปยื่น 6 ข้อเรียกร้อง ต่อนายก

12239222_543165262505426_7227591077577854958_o

คสรท.และสรส.ยื่น 6 ข้อเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรี ให้แก้ปัญหาแรงงาน เพื่อการปฏิรูปทั้งระบบ ทั้งค่าจ้าง การรวมตัว ประกันสังคม

19 เมษายน 2559 คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ร่วมกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.) และองค์กรสมาชิก ได้ยื่นข้อเรียกร้องวันกรรมกรสากล ปี 2559 ผ่านศูนย์บริการประชาชน รับเรื่องราวร้องทุกข์ (กพ.) ฝั่งตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล ข้อเรียกร้องวันกรรมกรสากล ปี 2559 ให้แก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีข้อเรียกร้องดังนี้

วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันกรรมกรสากลที่ผู้ใช้แรงงานทั่วโลกต่างออกมารณรงค์ในประเด็นปัญหาต่างๆที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เพื่อสื่อสารให้รัฐบาลและประชาชนในประเทศได้รับทราบสถานการณ์ที่ผู้ใช้แรงงานกำลังเผชิญซึ่งทวีคูณมากขึ้นทุกวัน และส่งผลกระทบต่อชีวิตและครอบครัวจนขาดความมั่นคงในการทำงานและเข้าไม่ถึงคุณภาพชีวิตที่ดีตามที่แรงงานคนหนึ่งพึงได้รับ

เนื่องในวันกรรมกรสากลปี 2559 คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้มีการประชุมร่วมกันและรวบรวมประเด็นปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อผู้ใช้แรงงาน เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลก่อนถึงวันกรรมกรสากลให้รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อันจะมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาต่อไป โดยข้อเรียกร้องที่จะเสนอต่อรัฐบาลมีรายละเอียด ดังนี้

1. รัฐต้องให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน และอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 98 ว่าด้วยการปฏิบัติตามหลักการแห่งสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง เพื่อสร้างหลักประกันในสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง เพื่อให้กลไกของลูกจ้าง สหภาพแรงงาน เป็นส่วนช่วยให้คนงานเข้าถึงสิทธิ และเป็นกลไกในการเป็นเกราะป้องกันไม่ให้คนงานถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม และเป็นส่วนช่วยรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงาน การค้ามนุษย์ที่ประเทศไทยถูกจับตามองเป็นพิเศษจากสังคมโลก และรัฐบาลยังไม่มีกลไกที่ดีพอในการแก้ไขปัญหา การรับรองอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ จะเป็นโอกาสที่ดีของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวซึ่งจะได้รับความนิยม ความชื่นชมจากนานาชาติ

2. รัฐต้องยกเลิกนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหรือการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจทุกรูปแบบ และผลักดันให้มีกฎหมายว่าด้วยการพัฒนารัฐวิสาหกิจ ตามข้อเสนอของสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ที่ได้ยื่นต่อรัฐบาลก่อนหน้านี้ โดยสาระสำคัญให้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนารัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เกิดการขยายงาน การพัฒนาศักยภาพหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในการให้บริการประชาชน และยุติการแทรกแซงการบริหารงานรัฐวิสาหกิจ ปรับโครงสร้างการบริหารงานรัฐวิสาหกิจใหม่ ให้เกิดการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ ประกอบด้วยภาครัฐ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ และองค์กรผู้บริโภคภาคประชาชน เพื่อให้เกิดระบบธรรมาภิบาล ความโปร่งใส สามารถตรวจสอบถ่วงดุลกัน

3. รัฐต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาการ วางมาตรการอย่างเข้มข้นต่อการละเมิดสิทธิแรงงาน การคุกคาม และการเลิกจ้างผู้นำสหภาพแรงงานในรูปแบบต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่นายจ้างมิได้เกรงกลัวต่อกฎหมายแม้ในยามที่รัฐบาลประกาศใช้กฎอัยการศึก รวมถึงข้อจำกัดของ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ที่จำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานของคนงาน ในการนัดหยุดงาน การปิดงาน การเจรจาต่อรอง และการไม่พยายามบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ กรณีที่นายจ้างของสถานประกอบการบางแห่งไม่ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน

4. รัฐต้องกำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรม ให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน โดยกำหนดนิยามค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นค่าจ้างแรกเข้าที่มีรายได้พอเพียงเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวอีก 2 คน ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ทั้งนี้ โครงสร้างค่าจ้างของแรงงานให้มีการปรับค่าจ้างทุกปี โดยคำนึงถึงค่าครองชีพ ทักษะฝีมือ และลักษณะงาน และรัฐจะต้องทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2554ที่ให้คงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท ในปี พ.ศ.2557 และปี พ.ศ. 2558 ซึ่งในปัจจุบันจากผลสำรวจค่าใช้จ่ายของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ แรงงานจะอยู่ได้ต้องมีค่าจ้างวันละ 360 บาท ต้องเท่ากันทั่วประเทศ และรัฐต้องยกเลิกคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด

5. รัฐต้องปฏิรูประบบประกันสังคมให้เป็นองค์กรอิสระ โปร่งใส ตรวจสอบได้ (ประธานกรรมการและเลขาธิการต้องเป็นมืออาชีพ มาจากการสรรหา ผู้ประกันตนต้องมีส่วนร่วมการเลือกตั้งผู้แทนโดยตรง) กำหนดให้ประกันสังคมถ้วนหน้าของคนทำงานทุกคนโดยการคุ้มครอง ครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่ม มีสิทธิประโยชน์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และการปรับปรุงเพิ่มสิทธิประโยชน์ กรณีสงเคราะห์บุตร เดิม 400 บาท/ต่อเดือน เพิ่มเป็น 600 บาท/ต่อเดือน รวมถึงการยกเลิกการใช้เงินที่ไม่เกิดประโยชน์ ไม่ครอบคลุมผู้ประกันตนทุกคน เช่น การทำปฏิทิน การทำเสื้อวันแรงงาน การจัดอบรมเรื่องสิทธิประโยชน์ประกันสังคม รวมถึงการใช้เงินไปดูงานต่างประเทศที่ไม่ได้นำมาพัฒนาระบบบริหารจัดการที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกันตน ให้ยกเลิกไป

6. รัฐบาลต้องดำเนินการจัดตั้งธนาคารแรงงาน ให้เป็นของผู้ใช้แรงงาน เพื่อผู้ใช้แรงงาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมด้านเศรษฐกิจให้กับผู้ใช้แรงงาน ในการสร้างฐานเศรษฐกิจและเพื่อเป็นแหล่งทุน และส่งเสริมการออมให้กับผู้ใช้แรงงาน

จากข้อเรียกร้องที่กล่าวมาทั้ง 6 ข้อนั้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี จะรับพิจารณาและเข้ามาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้แรงงานอย่างเป็นรูปธรรมในรัฐบาลของท่านต่อไป