แรงงานยานยนต์ย้ำแรงงานต้องเตรียมพร้อมก่อน ASEAN เปลี่ยนเป็น AEC

สหพันธ์แรงงานยานยนต์เปิดเวทีอภิปรายเจาะลึกประเด็นประชาคมคมเศรษฐกิจอาเชียน(AEC)กับผลกระทบด้านแรงงานเมื่อวันที่ 31 มีนาคม   

สหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย เห็นว่าการพัฒนาไปสู่กลุ่มอาเชียนเป็นโอกาศทางการค้าที่สร้างอำนาจการต่อรองได้ ในส่วนของกระบวนการแรงงานจึงมีความจำเป็นต้องเรียนรู้ร่วมกันถึงผลได้ผลเสียที่อาจตามมา เพื่อให้สามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับขบวนการในการพัฒนาบุคลากรให้ก้าวไปพร้อมอุตสาหกรรม และได้จัดสัมมนาเรื่อง “ความเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ :สิทธิแรงงานในกฎบัตรอาเชียน สิ่งที่แรงงานควรรู้”ในวันที่ 31 มีนาคม 2554 ณ โรงแรมแกรนด์อินคำ โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาที่เป็นผู้นำแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์กว่า 60 คน และมีผู้ทรงคุณวุฒิคือ นางสาวโชติมา เอียมสวัสดิกุล ผู้อำนวยการยุทธศาสตร์ประชาคมเศรฐกิจอาเชียน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกระทรวงพานิชย์ มาให้ความรู้เรื่องของ AEC ต่อมาเวลา13.00น.มีการเปิดเวทีอภิปรายมี นายสิงหเดช ชูอำนาจ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายยงยุทธ เม่นตะเภา ประธานสหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทยเป็นผู้ร่วมอภิปราย ดำเนินการอภิปรายโดยมีนายศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุทธยา               

ชี้ยุทธศาสตร์ ACE

นางสาวโชติมา เอียมสวัสดิกุล ผู้อำนวยการยุทธศาสตร์ประชาคมเศรฐกิจอาเชียน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกระทรวงพานิชย์ อธิบายถึงยุทธศาสตร์หลักของ AEC ในเรื่อง เป็นตลาดและฐานการผลิตร่วมดังนี้ 1.เปิดเสรีการค้าซึ่งได้มีการลดภาษีนำเข้าเป็นลำดับตั้งแต่ปี 2536และเป็นศูนย์ในปี 2553 สำหรับกลุ่ม อาเซียน-6 ประกอบด้วย ไทย,อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์,มาเลเซีย,สิงคโปร์และบรูไน เป็นศูนย์ในปี 2558 สำหรับกลุ่ม CLMV ประกอบด้วย กัมพูชา,ลาว,พม่าและเวียดนาม ยกเว้นสิ้นค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มสินค้าอ่อนไหวและอ่อนไหวสูง 2.เปิดเสรีการค้าและการบริการ ประเทศปลายทางต้องลดหรือเลิกข้อจำกัดต่างๆของการเข้าสู่ตลาดของประเทศต้นทาง และอนุญาตให้ผู้ประกอบกิจการบริการของอาเชียน ไปทำธุรกิจโดยถือหุ้นได้อย่างน้อยถึง 70% ในปี 2558 3.เปิดเสรีลงทุน ในด้าน การเกษตร,การประมง,ป่าไม้,เหมืองแร่และภาคการผลิต(อุตสาหกรรม)  ให้มีการเปิดเสรี คุ้มครอง ส่งเสริม และอำนวนความสะดวกการลงทุน 4.เคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรี มีการทำข้อตกลงยอมรับร่วมแล้วใน7สาขาวิชาคือ วิศวกรรม,แพทย์,พยาบาล,นักสำรวจ,นักบัญชี,ทันตแพทย์และสถาปัตยกรรม ในสาขาเหล่านี้สามารถจดทะเบียนเพื่อประกอบวิชาชีพในประเทศอาเชียนอื่นๆได้ และคิดว่า AEC น่าจะไม่มีผลกระทบต่อแรงงานมากนักเนื่องจากในเรื่องของการเคลื่อนย้ายแรงงานยังเป็นเพียงข้อตกลงไม่ได้มีการใช้งานจริง แต่ก็ยังเป็นห่วงว่าอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานของไทยส่วนเรื่องที่มีผลกระทบโดยตรงคือเรื่องของการค้าการลงทุนและผู้บริโภค ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

โอกาศดีของแรงงานมีฝีมือ

นายสิงหเดช ชูอำนาจ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ใน7อาชีพสำคัญไทยถือว่ามีมาตรฐานสูงสุดในมุมมองของกระทรวงแรงงานเพราะทั้งหมดมีใบอนุญาตในการทำงานไม่ใช่ว่าใครจะมาทำก็ได้ บางสาขาก็ใช้เวลาเรียนถึง 5-6 ปีซึ่งนานกว่าในหลายๆประเทศ ส่วนในเรื่องของสายงานผลิตเรามีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานที่กำหนดมาตรฐานอยู่แล้วและแรงงานไทยในกลุ่มนี้ก็ถือว่ามีฝีมือสูงเมื่อเทียบกับหลายๆประเทศ หากมีการเปิดเคลื่อนย้ายเสรีแรงงานใน7สาขาวิชา ประเทศไทยอาจเกิดการสมองไหลแต่ก็เป็นโอกาศดีของแรงงานเพราะมีโอกาศเลือกงานที่พอใจมากขึ้น ส่วนเรื่องที่น่าเป็นห่วงคือการที่มีชาวต่างชาติเข้ามามากๆอาจส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมของไทย

วัดกันตรงไหนว่ามีฝีมือ

นายยงยุทธ เม่นตะเภา ประธานสหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย แสดงความเห็นว่าประเด็นต่างๆที่ได้ไปทำข้อตกลงกันมาทั้งหมดนั้นได้มีการสอบถามทางแรงงานตัวจริงหรือไม่ และแรงงานมีฝีมือก็ยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอว่าระดับไหนถือว่าเป็นแรงงานมีฝีมือ ในส่วนตัวแล้วเชื่อว่า AEC ดีต่อไทยอย่างแน่นอนแต่ยังคงกังวลว่า ที่มาที่ไปโปร่งใสหรือไม่ ครอบคลุมทุกฝ่ายในประเทศไทยหรือไม่

คาดหวัง ระวัง และพัฒนาตัวเอง

รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยข้อมูลและวิเคราะห์ในเรื่องนี้ว่าจากงานวิจัยของธนาคารโลก (World Bank) และองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ในอาเชียนเราพบว่าเมื่อวัดกันที่ผลิตภาพแล้วฝีมือแรงงานของไทยเป็นรองแค่มาเลเซียและสิงคโปร์ จากการศึกษาต้นทุนค่าจ้างโดยใช้เกาหลีเป็นฐานคำนวนเราพบว่า ต้นทุนค่าจ้างของไทยคิดเป็นเพียง 25% มาเลเซีย 38% สิงคโปร์ 80% แต่ค่าครองชีพของไทยต่ำกว่าอีก2ประเทศ 3-10 เท่า เมื่อคิดดูแล้วถึงแม้รายได้ในไทยต่ำกว่าต่างชาติก็ตามแต่อยู่ไทยสบายกว่าเพราะค่าครองชีพต่ำกว่าหลายเท่า

 จากตรงนี้ทำให้เราคาดหวังได้ว่านักลงทุนจากต่างชาติอาจมองการลงทุนในไทยเพิ่ม โดยเฉพาะ SMEs ของญี่ปุ่นที่กำลังมองหาฐานการผลิตใหม่มาอยู่ที่ไทยเพราะ ค่าแรงไม่สูงมาก ค่าครองชีพต่ำ แรงงานมีฝีมือ และยังดึงคนจากประเทศเพื่อนบ้านได้อีกด้วย หากว่าเรามีการพัฒนาการขนส่งในการเชื่อมต่อออกไปประเทศต่างๆยิ่งทำให้เราค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านได้ง่ายขึ้น ยิ่งทำให้เกิดความน่าลงทุนมากขึ้น

แต่ทั้งนี้เราก็ต้องระวัง การเกิด AEC เป็นเป้าหมายของจีน จีนกำลังตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาการขนส่งมาสู่อาเชียนและกำลังจะตั้งไทยให้เป็นศูนย์กระจายสินค้าของจีนในอาเชียน ตรงนี้ทำให้สินค้าราคาถูกของจีนไหลเข้ามาในไทยเนื่องจากจีนมีแรงงานมากสินค้าที่จีนขายจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องกำไรแต่จีนสนใจการจ้างงานในประเทศ และใช้การผลิตในปริมาณมากๆชดเชย ซึ่งอาจทำให้ SMEs ของไทยตายได้

ขณะนี้ไทยกำลังติดกับดักอุตสาหกรรมขนาดกลาง เรามองจีน เวียดนาม และลาวเป็นคู่แข่ง เนื่องจากมีค่าแรงต่ำกว่า แต่ในความจริงแล้วควรมอง สิงคโปร์และมาเลเซียเป็นคู่แข่งมากกว่า เราควรหันมาพัฒนาด้านคุณภาพมากกว่าการผลิตสินค้าราคาถูกแข่งกัน ซึ่งอาจทำให้นายจ้างตั้งหน้าตั้งตาลดต้นทุนและหันไปมองแรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือ

มองในด้านกลับกันค่าแรงในต่างประเทศบางแห่งสูงกว่าในไทย 5-7 เท่า แต่ค่าครองชีพสูงกว่าเพียง 3-4 เท่า ทำให้แรงงานของไทยอาจไหลไปต่างประเทศได้

จากสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราต้องมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาตัวเองมากขึ้น นายจ้างมีการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นแต่แรงงานยังต่างคนต่างอยู่ ในอนาคตเราจะเป็นแบบนี้ไม่ได้ต้องมีการสร้างขบวนการแรงงานในระดับอาเชียนที่มีพลัง และต้องหาความรู้เพิ่มเติม

การศึกษาไทยไม่สนับสนุนแรงงาน

รศ.ดร.ณรงค์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำงานแบบเหมาช่วงนั้นมีมานานแล้วและมีทั่วโลกแต่ในไทยมีปัญหาดังนี้ 1. รัฐบาลหนุนเพราะมีแล้วสหภาพแรงงานอ่อนแอ 2. ไทยนิยมมีสหภาพฯแบบตัวใครตัวมันแต่ในต่างประเทศแรงงานแบบเหมาช่วงจะอยู่ในสหภาพฯบริการแรงงาน 3. สังคมไทยส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจรื่องแรงงาน ไม่มีการสอนในสถานศึกษาทั้งๆที่นักศึกษากำลังก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงาน กล่าวคือระบบการศึกษาส่งเสริมไม่ให้รู้

หลังจบการการอภิปรายในเวลา 16.00น. ทำให้ผู้นำแรงงานได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาฝีมือแรงงาน การพัฒนาด้านภาษา การศึกษาหาความรู้ร่วมกัน การรวมกลุ่มแรงงานที่แข็งแกร่งทั้งในแรงงานไทยด้วยกันเองและในระดับอาเชียนเพื่อเตรียมรับผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพี่น้องผู้ใช้แรงงานในอนาคต

               ณัฐวุฒิ จีระดิษฐ์  นักสื่อสารแรงงานศูนย์ข่าวแรงงานสมุทรปราการ  รายงาน