ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งชาติ ยื่นหนังสือ ต่อนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เสนอนโยบายเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน และการพัฒนาสิทธิประโยชน์ประกันสังคมมาตรา ๔๐
เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งชาติ นำโดยนางสุจิน รุ่งสว่าง ประธานศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งชาติ นางสาวอรุณี ศรีโต ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบปริมณฑล นางสาวอรุณี ดวงพรม ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบภาคอีสาน นางสุพรรณี เวียงคำ ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบภาคเหนือ นายระนอง ซูนสุวรรณ ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบภาคใต้ นายภัทรพงษ์ กิตติวิริยะพันธุ์ ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบภาคกลาง และนายวรพล แกมขุนทด เครือข่ายผู้ขับขี่รถรับจ้างแท็กซี่ พร้อมกับองค์กรแรงงานนอกระบบในกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่คลอบคลุมทั้ง ๕ ภูมิภาค ซึ่งได้มีการรวมตัวกัน ได้เดินทางเข้าพบและยื่นหนังสือต่อปลัดกระทรวงแรงงาน หลังจากจัดทำข้อมูลฐานสมาชิก และสถานการณ์ปัญหา ความต้องการ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย เพื่อการคุ้มครอง ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๕ – ๒๕๕๘ และฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๕ รวมถึงกระบวนการพัฒนาข้อเสนอนโยบายระดับท้องถิ่นและระดับชาติและขับเคลื่อนให้เกิดกระบวนการพัฒนา ปรับปรุงกฎหมายและมาตรการเชิงบริหารที่ส่งผลต่อการมีคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบในภาพรวม
จากการทำงานของศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งชาติ พบว่าการประกันสังคมมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ ในขณะเดียวกันเรื่องสุขภาพที่เกี่ยวกับการประกอบอาชีพของแรงงานนอกระบบในอาชีพต่าง ๆ ก็มีความสำคัญ เมื่อรัฐมีนโยบายในการส่งเสริมแรงงานนอกระบบ รัฐควรคำนึงกลไกการทำงานที่มีส่วนร่วมจากภาคประชาชน
ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งชาติ ได้ดำเนินการ ยื่นข้อเสนอต่อปลัดกระทรวงแรงงาน และเลขาธิการประกันสังคมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ ถึงปัจจุบัน มีประเด็นที่ความก้าวหน้าและบางประเด็นก็ยังไม่ตอบสนองต่อและสอดคล้องกับความต้องการของแรงงาน ฯ เช่น
๑. การพัฒนาสิทธิประโยชน์การสร้างกลไกลในการเข้าถึงประกันสังคม มาตรา ๔๐
- กรณีการเจ็บป่วย/ประสบอันตราย ทั้งทางเลือกที่ ๑,๒ ให้ใช้สิทธิประโยชน์แนวทางเดียวกัน ( รายละเอียดตามเอกสารแนบ )
- ให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้ให้กับผู้นำและอาสาสมัครแรงงานเพื่อขยายจำนวนผู้ประกันตน และอัตราการคงในการส่งเงินสมบท
๒. ส่งเสริมและพัฒนาการพัฒนาศักยภาพผู้นำและความเป็นองค์กรของแรงงานนอกระบบในทุก
ระดับ ข้อเสนอ
- ให้มีนโยบายสนับสนุนการจัดตั้งหน่วยบริการชุมชนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ ในพื้นที่/ ตำบลที่มีความพร้อมทั้งความเข้าใจและการดำเนินงาน
- ให้มีจัดตั้งอนุกรรมการประกันสังคมในกรุงเทพฯ เช่นเดียวกับพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ เพื่อให้ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบจังหวัดได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานประกันสังคม มาตรา 40 และ มาตรา 39 ในระดับพื้นที่และระดับนโยบาย
- ให้มีอาสาสมัครแรงงาน (อสร. ) ในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อเป็นกลไกในการทำงานร่วมกับหน่วยงานกระทรวงแรงงานในระดับพื้นที่และกระทรวง ปัจจุบันมีการรับสมัครอสร.กทม.จำนวน ๒๕๓ คน แต่ยังไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการ
๓. ส่งเสริมป้องกันโรคจากการประกอบอาชีพในกลุ่มแรงงานนอกระบบในชุมชน/ท้องถิ่น
ข้อสนอ
- ส่งเสริมสนับสนุนให้มีโครงการรพัฒนาผู้นำและอาสาสมัครแรงงาน ให้มีความรู้และเสริมศักยภาพด้านอาชีวอนามัยแก่กลุ่มอาชีพแรงงานนอกระบบในตำบลโดยการประสานกับหน่วยงานที่มีความรู้และทักษะด้านอาชีวอนามัย
๔. ประชุมปรึกษาหารือร่วมระหว่างกระทรวงแรงงานและศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบ
เพื่อขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ของแรงงานนอกระบบอย่างต่อเนื่อง ไตรมาสละ ๑ ครั้ง เป็น
อย่างน้อย
ทั้งนี้ เพื่อให้การนำข้อคิดเห็นและคำชี้แนะ รวมถึงแนวนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ ตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ สู่การปฏิบัติ เกิดประสิทธิภาพ สูงสุดและนำไปสู่วิถีการปฏิบัติที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล “การลดความเหลื่อมล้ำ” จึงขอนำเสนอและร่วมแลกเปลี่ยนเพื่อการประสานงานการทำงานร่วมกันระหว่างศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งชาติ และพิจารณาให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อแนวทางที่ผู้เกี่ยวข้องได้ไปพิจารณาแนวทางการทำงานต่อเนื่อง
ด้านนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการหารือว่า ข้อเสนอที่กลุ่มตัวแทนแรงงานนอกระบบเสนอ ทางกระทรวงแรงงานขอรับไว้พิจารณาและจะพยายามขับเคลื่อนให้ได้มากที่สุด เนื่องจากกลุ่มแรงงานนอกระบบเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญและมีจำนวนมากถึง ๒๐ ล้านคน ถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศและเพื่อลดการพึ่งพาแรงงานต่างด้าว ซึ่งเป็นเป้าหมายของกระทรวงแรงงานที่ต้องการให้คนไทยมีงานทำ มีรายได้ที่มั่นคงและได้รับสวัสดิการสังคมเช่นเดียวกันทุกกลุ่ม ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคม ได้เสนอปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ ที่มีความคืบหน้าไปมากแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างนำเรื่องเข้าครม.เพื่อพิจารณา นอกจากนี้กระทรวงแรงงานยังได้เตรียมจัดงานสมัชชาแรงงานนอกระบบ เปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและระดมความคิดเห็นจากกลุ่มแรงงานนอกระบบ รวมถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
ทั้งนี้ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งชาติได้มี ข้อเสนอว่าด้วยกรณีประโยชน์ทดแทนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขประโยชน์ทดแทนผู้ประกันตนมาตรา ๔๐ ดังนี้
กล่าวถึงแรงงานนอกระบบที่มีความหลากหลายทั้งเรื่องอาชีพ สภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคมที่ รัฐต้องดูแล โดยการจัดสรรสวัสดิการให้ ซึ่งในปี 2554 รัฐได้ขยายพระราชบัญญัติประกันสังคม มาตรา 40 เพื่อให้แรงงานนอกระบบทุกสาขาอาชีพมีโอกาสเข้าถึงเช่นเดียวกับแรงงานในภาคอุตสาหกรรม การสมัครเป็นผู้ประกันตน และหลักเกณฑ์ พร้อมเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับผลประโยชน์ทดแทน ที่ผ่านมารัฐมีนโยบายเรื่องประกันสังคมมาตรา ๔๐ ที่เปิดโอกาสให้กลุ่มแรงงานนอกระบบทุกสาขาอาชีพสามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐเรื่องประกันสังคมเมื่อ ปี ๒๕๕๔ มีการกำหนดเงื่อนไขของผู้ที่จะเข้าเป็นสมาชิกประกันสังคมในรูปแบบการสมัครใจนอกเหนือจากการกำหนดเงื่อนไขการเป็นผู้ประกันตน มีการกำหนดสิทธิประโยชน์ในรูปแบบ สองทางเลือกโดยการจ่ายสมทบแตกต่างกันซึ่งทางเลือกที่ ๑ ผู้ประกันตนจ่าย ๗๐ บาท รัฐสมบท ๓๐ บาท ได้รับสิทธิประโยชน์ เจ็บป่วย ทุลพลภาพ ตาย ทางเลือกที่สอง ผู้ประกันตนจ่าย ๑๐๐ บาท รัฐสมทบเป็นเงินออมให้เดือนละ ๕๐ บาท ได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนทางเลือกที่ ๑ เพิ่มเรื่องบำเหน็จ เมื่ออายุครบ ๖๐ ปี และลาออกจากการเป็นผู้ประกันตน
การกำหนดประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตนทุกประเภททั้งระบบบังคับและระบบสมัครใจรัฐคำนึงถึง การลดความเหลื่อมล้ำ โดยพิจารณาถึงการได้รับ “สิทธิประโยชน์พื้นฐาน” ที่เท่าเทียมกัน ควบคู่กับหลักการของประกันสังคม คือ “การเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข”การเพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับแรงงานนอกระบบ ต้องพิจารณาถึงความสอดคล้องกับแนวนโยบายของประเทศและการมีส่วนร่วมของผู้ประกันตน นโยบายที่สำคัญที่จะต้องนำมาพิจารณาควบคู่กับการพัฒนาระบบประกันสังคมสำหรับแรงงานนอกระบบ คือ นโยบายประชากร นโยบายการสร้างวินัยการออมและสังคมผู้สูงอายุ และคนไทยทุกคนต้องมีสวัสดิการสังคมพื้นฐานถ้วนหน้าการขยายสิทธิประโยชน์ต้องมุ่งหลักการสำคัญที่จะส่งผลต่อการมีหลักประกันสังคมที่ครอบคลุมทั้งในมิติกลุ่มเป้าหมาย พื้นที่และประโยชน์ทดแทนที่จำเป็นสำหรับแรงงานนอกระบบที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครอง
ข้อเสนอในการพัฒนาสิทธิประโยชน์ประกันสังคมมาตรา 40 ทางเลือกที่ 1 และทางเลือกที่ 2
ประเภท | สิทธิประโยชน์เดิม | ข้อเสนอ | หลักการและเหตุผล |
กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยและคลอดบุตร | เป็นผู้ป่วยในตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้จำนวน 200 บาทต่อวัน ไม่เกิน 30 วันต่อปี | 1. กรณีเจ็บป่วยนอน รพ. และแพทย์สั่งให้ไปพักฟื้นต่อที่บ้าน
2. กรณี คลอดบุตร และต้องกลับไปพักฟื้น ต่อภายใน 90 วัน เพื่อพักฟื้นร่างกาย รวมถึงต้องให้นมบุตรในช่วงแรกเกิด ทั้ง 2 กรณี มีใบรับรองแพทย์ระบุให้หยุด รักษาตัวก็ให้มีสิทธิรับเงินทดแทนการขาดรายได้ วันล่ะ 300 บาท โดยขอปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ เงินทดแทนการขาดรายได้จากเดิม 200 บาท ต่อวัน เป็น 300 บาท โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วยใน |
ปัจจุบันแรงงานนอกระบบใช้สิทธิการรักษาพยาบาลในระบบหลักประสุขภาพแห่งชาติ ดูแลคนถึง49ล้านคนด้านการให้บริการจึงมีความแออัดของคนที่เข้ารักษาพยาบาล คนที่เข้ารักษาพยาบาลถ้าไม่รุนแรง ทาง โรงพยาบาลก็จะไม่ให้เป็นผู้ป่วยใน ถ้าไม่ใช่ กรณีขาดความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง
ซึ่งหลักความเป็นจริงเมื่อเจ็บป่วยอุบัติเหตุแขนขาหัก เป็นไข้หวัด ปวดท้อง ความดันสูงต่ำ พักฟื้นหลังคลอดรพ.ก็ไม่ให้นอนรักษาในโรงพยาบาล ส่วนใหญ่รับยาแล้วให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน ซึ่งนั้นก็หมายถึงไม่สามารถทำงานได้ ขายของไม่ได้ เก็บของเก่าไม่ได้ ออกไปขับรถรับจ้างไม่ได้เช่นกัน |
กรณีทุพพลภาพ | รับเงินทดแทนการขาดรายได้จำนวน 500 – 1,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลานานถึง 15 ปี เงื่อนไข เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อทุพพลภาพขึ้นอยู่กับระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบครบ 6 เดือนขึ้นไป (ต้องเป็นผู้ทุพพลภาพหรือทุพพลภาพเพิ่มขึ้นตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการ แพทย์) | 1. กรณีทุพพลภาพ ให้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ต่อเดือน ไปจนตลอดชีวิต กรณีที่ความสูญเสียรุนแรงจนไม่สามารถทำงานได้
2. กรณีทุพพลภาพ มีความสูญเสียที่ไม่รุนแรง ซึ่งทำงานไม่ได้ตามปกติให้มีสิทธิรับเงินทดแทนการขาดรายได้ตลอดระยะเวลาที่ไม่สามารถทำงานได้ตามกฎหมายกำหนด จนกว่าจะสามารถทำงานได้ |
กรณีประสบอันตราย หรือเวลาที่ทำงานย่อมเกิดอันตรายเสมอ ซึ่งผู้ที่ทำงานไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้ บางครั้งอาจจะไม่รุนแรง และอาจรุนแรงจนไม่สามารถทำงาน และงานที่อยู่นอกการคุ้มครองจากกฎหมายย่อมเกิดปัญหา และแรงงานนอกระบบไม่มีโอกาสเข้าถึงสิทธิการคุ้มครองตามกฎหมาย หรือกองทุนทดแทน อาจแบ่งระดับ กรณีทุพพลภาพ เป็น 2 ระดับ
1. กรณีที่สามารถทำงานได้ 2. กรณีที่ไม่สามารถทำงานได้ |
กรณีตาย | รับเงินค่าทำศพจำนวน 20,000 บาทต่อราย เงื่อนไข จ่ายเงินสมทบครบ 6 เดือน ภายในระยะเวลา 12 เดือน ก่อนเสียชีวิต ยกเว้น เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เงื่อนไข จ่ายเงินสมทบครบ 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ก่อนเสียชีวิต | เงินช่วยเหลือค่าทำศพ
· กรณีเป็นผู้ประกันตนเป็นระยะเวลา1-2 ปี ได้รับเงินช่วยเหลือ 20,000 บาท · กรณีเป็นผู้ประกันตนเป็นระยะเวลา 3-4 ปี ได้รับเงินช่วยเหลือ 30,000 บาท · กรณีเป็นผู้ประกันตนเป็นระยะเวลา5 ปีขึ้นไป ได้รับเงินช่วยเหลือ 40,000 บาท |
แรงงานนอกระบบส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุมีอาชีพไม่มั่นคงจึงมีรายได้ไม่แน่นอน จึงจำเป็นต้องทำงานระยะเวลายาวกว่ากฎหมายกำหนดไว้ ทำให้มีเวลาพักผ่อนไม่มากนัก เพราะต้องหารายได้ให้พอต่อการดำรงชีพในแต่ละวันทั้งไม่มีสวัสดิการจากรัฐเมื่อเสียชีวิตต้องกู้เงินนอกระบบมาจัดงานศพ ทำให้มีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น จึงเป็นภาระของครอบครัวลูกหลาน สังคมและชุมชน การเพิ่มเงินค่าทำศพจะเป็นแรงจูงใจให้ลูกหลานและแรงงานนอกระบบเข้าสนใจเข้าเป็นผู้ประกันตน |
กรณีชราภาพ (เงินบำเหน็จ) | 1. รับเงินก้อนเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ เงื่อนไข มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน
2. ผู้มีสิทธิสมัคเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา40 มีอายุ 15-60 ปี |
กรณี เงินชราภาพ
1. เมื่อผู้ประกันตนเป็นสมาชิกมาเป็นระยะเวลา 10 ปี ให้เพิ่มสิทธิประโยชน์เรื่องบำนาญชราภาพในทางเลือก ๑ และ ทางเลือกที่ ๒ โดยสมทบไม่น้อยกว่ากองทุนการออมแห่งชาติ 2. ขยายอายุสมาชิกผู้ประกันตนมาตรา40จาก 60 ปี เป็น 70 ปี |
หลักการประกันตนมาตรา 40 มาจากแนวความคิด
เรื่อง การส่งเสริมให้มีการออมของแรงงานนอกระบบ ที่มีความหลากหลายอาชีพ และมีรายได้ไม่แน่นอน เพื่อเก็บไว้ใช้ในยามสูงอายุ การรับเงินในรูปแบบบำนาญเป็นการสร้างวินัยในการใช้เงินของผู้สูงอายุ ในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางเศษฐกิจ สังคม ในประเทศ และการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก ทำให้มีผลกระทบกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องปรับตามภาวะการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้แรงงานนอกระบบใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักศรี และ เพื่อให้ตรงกับความจำเป็นของสมาชิกผู้ประกันตน ที่จะเลือกรับ บำเหน็จ หรือ บำนาญ ก็ได้ |
สงเคราะห์บุตร | ไม่มีอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์เดิม | 1. ให้มีเงินสงเคราะห์บุตรให้เท่าเทียมกับสวัสดิการพื้นฐานที่รัฐจัดให้กับผู้มีรายได้น้อย เดือนละ 600 บาท โดยใช้เงื่อนไขเดียวกับมาตรา 33และ 39
|
กรณีผู้มีรายได้ รัฐ ฯ มีสวัสดิการให้กับ จึงทำให้แรงงานนอกระบบไม่สามารถหยุดพักรักษาตนเองได้นานตามอาการต้องออกไปหารายได้ และไม่มีเวลาในการให้นมลูกทำให้เด็กขาดภูมิคุ้มกัน จึงส่งผลต่อสุขภาพของแม่ และเด็ก ในอนาคต และสุดท้ายมีผลผูกพันกับงบประมาณการดูแลรักษาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
รวมทั้งเงินสงเคราะห์บุตรจะช่วยให้แรงงานนอกระบบนำไปซื้อนมและอาหารให้ลูกเพื่อเพิ่มสารอาหาร เด็กจะได้เป็นอนาคตของชาติ |
กรณีคลอดบุตร | ไม่มีอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์เดิม | . ชดเชยการขาดรายได้ในช่วงพักฟื้นหลังคลอด โดยใช้เงื่อนไขเดียวกันในกรณีประสบอันตรายและเจ็บป่วย |