เวทีภาคเหนือพรรคการเมือง ขานรับสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า  ชูนโยบายพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก  พร้อมเสนอกฎหมายใหม่เพื่อสวัสดิการประชาชน

เปิดเวทีภาคเหนือ

พรรคการเมือง ขานรับสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า  ชูนโยบายพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก  ปรับใช้งบประมาณจากกองทุนต่าง ๆ พร้อมเสนอกฎหมายใหม่เพื่อสวัสดิการประชาชน

เมื่อวันที่  25 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา  โครงการขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า ได้จัดเวที “ ฟังเสียงจากคนเหนือ พรรคการเมืองแถลงนโยบาย สวัสดิการเด็กเล็ก ถึงเวลาถ้วนหน้าหรือยัง ” ณ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่   โดยในช่วงแรกเป็นการนำเสนวนาในหัวข้อ “สถานการณ์เด็กเล็กภาคเหนือ และข้อเสนอ” โดย ดร. ชยันต์ วรรธนะภูติ ศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ได้กล่าวในการเปิดเวทีเสวนา ในวันนี้ว่า เด็กเป็นพลังสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมไทยให้มีความยั่งยืนและมีสันติภาพ ส่วนประเด็นเรื่องสิทธิยังเป็นเรื่องสำคัญ เด็กทุกคนที่เกิดในแผ่นดินไทยไม่ว่าจะมีสัญชาติอะไรควรจะได้รับการปฏิบัติหรือได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกันในทุกๆด้าน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายในการที่จะให้การศึกษากับเด็ก ทั้งเด็กสัญชาติไทยและเด็กไร้สัญชาติ แต่ยังมีปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ เนื่องจากในทางปฏิบัตินั้น เรื่องความถ้วนหน้าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเด็กในสังคมอย่างกรณีภาคเหนือ มีทั้งเด็กครอบครัวชนชั้นกลาง เด็กจากกลุ่มคนทำงานในเมือง เด็กที่อยู่ในชนบทและพื้นที่สูง ซึ่งเด็กเหล่านี้จำนวนมากเป็นเด็กที่เกิดจากแรงงานข้ามชาติและไม่ได้สิทธิในการเป็นพลเมืองไทย แต่พ่อแม่เด็กเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

“การจัดเวทีนี้เป็นการจัดเวทีเพื่อให้คนทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กถ้วนหน้า ได้นำเสนอกับผู้แทนจากพรรคการเมืองและรับฟังนโยบายจากพรรคการเมืองเกี่ยวกับเด็ก ผมคิดว่าการทำงานร่วมกันของฝ่ายการเมืองกับฝ่ายภาคประชาสังคมและวิชาการ น่าจะนำไปสู่นโยบายที่ดีในอนาคตได้”

จากนั้น เป็นเวทีเสวนาจากนักวิชาการและกลุ่มคนทำงานในพื้นที่  รศ.ดร.วรวิทย์ เจริญเลิศ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  กล่าวว่า เด็กเล็กคือเด็กที่อายุไม่เกิน 5-6 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่สำคัญในการเจริญเติบโตทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ดังนั้นนโยบายจะต้องตอบสนองความต้องการพื้นฐานให้เด็กได้  ทั้งด้านความมั่นคงทางด้านร่างกายและอารมณ์  แต่อุปสรรคที่สำคัญคือความยากจน ที่รัฐบาลต้องแก้ให้ได้ นอกจากนี้ยังมีประเด็นความรุนแรงในครอบครัวและสังคมซึ่งจะมีผลกระทบต่อจิตใจของเด็ก

ด้าน ผศ.ดร.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒน์  กล่าวว่า สวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า เป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐาน และควรจะเป็นการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ เพื่อให้เด็กเหล่านี้ได้รับการดูแลตามสิทธิเด็กที่เด็กควรจะได้รับ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเงินอุดหนุน แต่ควรมีกลไกแลระบบรองรับด้วย อยากให้วาระในการสนับสนุนเด็กไม่ควรจะเป็นแค่นโยบายของพรรคการเมือง แต่ควรจะเป็นวาระหลักที่ทุกฝ่ายช่วยกัน

สุมิตร  วอพะนอ องค์การแพลน อินเตอร์เนชันแนล ประเทศไทย กล่าวว่า  ยังมีเด็ก
ชาติพันธ์และเด็กไร้สัญชาติอีกแสนกว่าคน ที่ไม่ได้รับสวัสดิการนี้ ซึ่งสวัสดิการนี้จะช่วยลดภาระของกระทรวงสาธารณสุขในอนาคต  เพราะเด็กจะเติบโตมาอย่างดี   ในขณะที่ จันทร์ฉาย โนลอย รองนายก อบต.แม่วิน อ.แม่วาง จังหวัดเชียงใหม่  ย้ำว่า ว่า ในพื้นที่ตำบลแม่วินมียังเด็กที่เล็กตกหล่นที่ไม่ได้รับเงินอุดหนุนเด็กเล็ก เกือบ 100 คน

จากนั้นผู้แทนจากพรรคการเมือง ได้นำเสนอนโยบาย “สวัสดิการเด็กเล็ก ถึงเวลาถ้วนหน้าหรือยัง” เริ่มต้นที่พรรคภูมิใจไทย

ภูมิใจไทย พูดชัด 600 บาทไม่พอ

ย้ำเด็กทุกคนต้องได้ ไม่ต้องพิสูจน์ใครจน

คุณปาตีเมาะ เปาะอิแตดาโอะ พรรคภูมิใจไทย  กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยเน้นนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตเสนอให้กับประชาชน เพราะประชาชนทุกคนต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีในหลายๆด้าน ส่วนเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้านั้น พรรคภูมิใจไทยเห็นว่าเงิน 600 บาทไม่เพียงพอ และไม่ควรต้องพิสูจน์ความยากจน เด็กที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทยทุกคนควรจะได้รับเงินอุดหนุน

พลังประชารัฐเล่นใหญ่  แจกแม่ตั้งครรภ์เดือนละหมื่น

ด้านพรรคพลังประชารัฐ ผศ.ดร.วลัยพร รัตนเศรษฐ์ คณะกรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐ  กล่าวว่า พลังประชารัฐมีนโยบายจะดูแลคนทุกกลุ่ม โดยจะกำหนดนโยบายแก้ปัญหาเด็กเล็กในภาพใหญ่  ซึ่งขณะนี้พรรคได้เสนอนโยบายต่อคณะรัฐมนตรีกรณีสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าต้องไม่มีการตกหล่น  นอกจากนี้พรรคเห็นด้วยกับเงินอุดหนุนเด็กเล็ก 3,000 บาทและเด็กทุกสัญชาติต้องได้รับสวัสดิการ ไม่ตกหล่น และที่สำคัญแม่ที่ตั้งครรภ์จะให้เดือนละ 10,000 บาท เริ่มตั้งแต่เดือนที่ 5  นอกจากนี้พรรคมีนโยบายเน้นไปที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโดยยกระดับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้มีคุณภาพดีและทั่วถึง ทั้งอาหารและครูพี่เลี้ยง และจัดระบบความปลอดภัย ซึ่งจะใช้งบประมาณ 2.1 แสนกว่าล้านบาทต่อปี  จากกองทุนต่างๆ

เสรีรวมไทย ย้ำสิทธิ์ของเด็กต้องถ้วนหน้าไม่ซ้ำซ้อน

ภาวิณี  อินทะสิทธิ์ พรรคเสรีรวมไทย  กล่าวว่า ขอสนับสนุนนโยบาย เงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า โดยการรับสิทธิ์ของเด็กต้องไม่ซับซ้อนเด็กทุกคนต้องได้รับเงินนี้อย่างทั่วถึง  ทั้งนี้พรรคเสรีรวมไทยมีแนวคิดว่า เด็กทุกคนเป็นเมล็ดพันธ์ที่ต้องพัฒนาให้เติบโตอย่างดี โดยเฉพาะในช่วง 0-6 ปี และต้องสร้างให้เป็นรูปธรรม

ชาติพัฒนากล้า ให้เด็กเล็กถ้วนหน้า 2,000 บาท

ลดภาษีให้ผู้ประกอบการที่มีศูนย์เด็กเล็กฯ

สำหรับ เยาวภา  บุรพลชัย พรรคชาติพัฒนากล้า  กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้ามีนโยบายในการที่จะขยายศูนย์เด็กเล็กให้มากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ปกครอง โดยจัดตั้งศูนย์เด็กเล็กในบริษัท/โรงงาน โดยลดภาษีให้กับผู้ประกอบการเพื่อเป็นแรงจูงใจ  นอกจากนี้ยังมีนโยบายให้คุณแม่ทำงานที่บ้านหรือที่ทำงานได้ทุกที่โดยอาจจะไม่ต้องเข้าสำนักงานเพื่อแม่ได้ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ส่วนวันลาคลอดอาจจะต้องมีการพิจารณานโยบายอย่างละเอียดให้สอดคล้อง

“พรรคชาติพัฒนากล้าจะพัฒนาทักษะครูพี่เลี้ยง โดยใช้งบประมาณ 24,000 ล้านบาทต่อปี  เพิ่มงบประมาณเงินอุดหนุนสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า 0-6 ปี  2,000 บาทต่อเดือน”   

ย้ำ เด็กทุกคนต้องมีข้าวเช้ากิน

พร้อมเพิ่มศูนย์เด็กเล็กจากโรงเรียนร้าง

ดร.พิสิษฐ์ ลี้อาธรรม พรรคประชาธิปัตย์   กล่าวว่า  จากที่สำรวจพื้นที่ต่างๆ  มีโรงเรียนจำนวนมากปิดตัวลง พรรคประชาธิปัตย์ จึงมีนโยบาย จะพัฒนาให้โรงเรียนเหล่านั้นให้เป็นศูนย์เด็กเล็กในพื้นที่ โดยผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้จะประสานไปยังสถานประกอบการทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน ต้องมีศูนย์ดูแลเด็กเล็ก  รวมถึงการดูแลเด็กเล็กที่ไปโรงเรียน แม้รัฐบาลจะมีนโยบายเรียนฟรี แต่เด็กก็ยังไม่มีเงิน และจะให้อาหารเช้าให้เด็กที่มาโรงเรียน มีหลักสูตรที่เหมาะสมกับเด็กและกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน

เสนอใช้งบฯลับ สร้างรัฐสวัสดิการ

ธนัญญรัชช์ เศรษฐาธิรัชฏิ์ พรรคประชาชาติ  กล่าวว่า พรรคมีนโยบายที่เน้นในเชิงคุณภาพ สร้างรัฐสวัสดิการ ให้เงินอุดหนุนตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ให้สิทธิลาคลอดก่อนทั้งพ่อและแม่ 180 วัน เด็กต้องเรียนฟรีจนถึงปริญญาตรี โดยจะใช้งบลับมาสร้างสวัสดิการสังคม เป็นรัฐสวัสดิการ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

ประชากรไทย พร้อมผลักดันสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า

ธรรม ธรรมรักษ์   ผู้อำนวยการพรรคประชากรไทย กล่าวว่า เด็กอายุระหว่าง 0-6ขวบ เป็นช่วงที่สมองกำลังเติบโต รัฐต้องให้ความสำคัญกับเด็กๆ ในช่วงนี้  พรรคประชากรไทยพร้อมที่จะผลักดันสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า และกลุ่มพี่น้องที่ยากจน และการลงทุนในกลุ่มเด็กเล็กประเทศจะมีความยั่งยืน เพราะเด็กจะเติบโตอย่างมีคุณภาพ  ทั้งนี้พรรคมีนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกระดับ

ไทยสร้างไทย รับหลักการเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า

วิภาพรรณ วงษ์สว่าง พรรคไทยสร้างไทย  กล่าวว่า เรามองประชากรที่เกิดมาแล้วเป็นมนุษย์ต้องได้รับการดูแลตั้งแต่เกิด ดังนั้นจึงมีการผลักดันนโยบายบำนาญผู้สูงอายุถ้วนหน้า3,000 บาทต่อเดือน เพื่อแบ่งเบาภาระในครอบครัว เรียนฟรีถึงปริญญาตรี และนโยบายเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า พรรคไทยสร้างไทยจะรับหลักการเพื่อดำเนินการต่อ นอกจากนี้พรรคยังมีนโยบายเร่งด่วนในเรื่องการยุติความรุนแรงในครอบครัวด้วย

ก้าวไกลย้ำ 3  ข้อเสนอเด็กเล็กถ้วนหน้า

ยังยืนยัน 1,200 บาทต่อเดือน

เพชรรัตน์  ใหม่ชมภู จากพรรคก้าวไกล กล่าวว่า  พรรคก้าวไกลมีนโยบายเกี่ยวกับเด็กเล็กตั้งแต่ 0-6 ปี ดังนี้          1.บ๊อกเซตของขวัญสำหรับเด็กแรกเกิดมูลค่า 3,000 บาท   2.เงินอุดหนุนเด็กเล็ก 1,200 บาทต่อเดือน 0-6 ปี 3. สิทธิลาคลอด 180 วัน พ่อแม่สามารถแบ่งกันได้ ซึ่งสอดคล้องกับกรมอนามัยโลก 4.สนับสนุนให้ท้องถิ่น หรือเอกชนให้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก  เป็นสวัสดิการถ้วนหน้า โดยไม่ต้องพิสูจน์ความจน และไม่ต้องพิสูจน์สัญชาติ  โดยงบประมาณอยู่ที่ 34,000 ล้านบาทต่อปี  

เพื่อไทย ขานรับเงินอุดหนุน 3,000 บาท/เดือน แต่ต้องไม่กระทบนโยบายภาพรวม

ดร.ณหทัย  ทิวไผ่งาม กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย  กล่าวว่า  พรรคเพื่อไทยพร้อมสนับสนุนนโยบายเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า ในอัตรา 3,000 บาทต่อเดือนมีความเป็นไปได้แต่ต้องไม่กระทบนโยบายรัฐบาล โดยจะผนวกเข้ากับกองทุนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยยังมีแนวคิดว่า ทำอย่างไรไม่ให้สวัสดิการถ้วนหน้าเป็นแค่นโยบายการแจกเงิน  ทำอย่างไรจะให้เป็นการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายคือเรื่องสุขภาพ ยกระดับให้นโยบาย 30 รักษาทุกโรค ครอบคลุมทุกกลุ่ม

พรรคเสมอภาค พร้อมผลักเงินอุดหนุนเด็กเล็กเป็นวาระแห่งชาติ

รฎาวัญ วงศ์ศรีวงศ์  หัวหน้าพรรคเสมอภาค  กล่าวว่า จะกำหนดนโยบายดังกล่าวนี้ เป็นวาระแห่งชาติและดำเนินการอย่างจริงจัง ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยผลักดันในรูปแบบกฎหมายบริการประชาชน เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน ใช้วิธีบริหารจัดการกองทุนที่สำคัญของประเทศ เช่น กองทุนประกันสังคม เพิ่มสิทธิประโยชน์ในการเลี้ยงดูเด็กและการลาคลอดของแม่