หลังจากการนับคะแนนเสียงเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ผลออกมาว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ขึ้นเป็นผู้นำหญิงดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของไทย จึงถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าแรกในบทบาทผู้นำหญิงที่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศ
การก้าวเข้ามาทำงานในตำแหน่งผู้นำประเทศของผู้หญิงเป็นครั้งแรกผู้ใช้แรงงานก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หลังจากก้าวเข้ามารับตำแหน่งสูงสุด คงบริหารบ้านเมืองแบบสุจริต เป็นธรรมและโป่งใสในทุกๆเรื่อง
หลังจากหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เหล่าบรรดาสมาชิกผู้แทนราษฎร(สส.)หลายท่าน รวมทั้งอดีตสส.ที่ยังถูกกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ต่างก็ยังวิ่งเต้นดำเนินการเข้ามามีส่วนร่วมจัดสรรตำแหน่งต่างๆทั้งแบบลับๆ ทั้งทางอ้อม และเปิดเผย โดยส่วนใหญ่ สส. จะปักหลักไปยื่นข้อเสนอเป้าหมายที่กระทรวงใหญ่ เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการศึกษา กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตร กระทรวงสาธารณะสุข กระทรวงอุตสาหกรรมฯลฯ อาจมองเลยกระทรวงที่ดูแลคน ที่สำคัญๆ อย่างกระทรวงแรงงาน ที่ต้องดูแลแรงงานกว่า 37 ล้านคน ทั้งแรงงานในระบบ แรงงานนอกระบบ รวมทั้งยังมีแรงงานข้ามชาติ ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าใครจะอาสามาดำรงตำแหน่งนี้ เพราะเป็นที่คาดหวังสำหรับผู้ใช้แรงงานที่จะได้คนที่เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาให้กับผู้ใช้แรงงาน ไม่ใช่กระทรวงนายจ้าง
ส่วนเรื่องนโยบายปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศทันที รวมถึงค่าจ้างสำหรับแรงงานปริญญาตรี 15,000 บาท ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ประกาศไว้กับผู้ใช้แรงงาน ทำให้นายจ้างแต่ละบริษัทฯ ร้อนๆ หนาวๆ เพราะต้องแบ่งผลกำไร จากที่เคยกอบโกยมานาน มาแบ่งจ่ายค่าแรง ให้กับคนงานเพิ่ม ซึ่งหลายกิจการอาจเพิ่มต้นทุน
ตามกระแสเสนอค่าจ้างขั้นต่ำปรับขึ้นเป็น 300 บาททำให้สินค้าอุปโภค บริโภค ทั้งก๊าซหุงต้ม น้ำมันดีเซลล์ น้ำมันเบนซิน น้ำมันพืช เริ่มขยับตัวแรงๆปรับขึ้นบ้างแล้ว ซึ่งรัฐคงควบคุมกันไม่อยู่ หรือไม่ยอมควบคุม สินค้า ข้าวปลา อาหารทุกชนิด คงจะพุ่งขึ้นยิ่งกว่าจรวด ติดเทอร์โบเสียอีก โดยเฉพาะค่าเช่าบ้านที่เตรียมปรับขึ้นราคากันเป็นระนาว
ถ้ารัฐควบคุมราคาสินค้าไม่ได้เศรษฐกิจไทยคงกลายเป็นภาวะเงินเฟ้อ อนาคตประเทศไทยจะเฟื่องฟู หรือตกต่ำ คงต้องรอดูการทำงาน ของบทบาทผู้นำหญิง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าจะแก้ปัญหาปากท้องของคนงานนี้ ให้เป็นไปตามนโยบายที่ประกาศไว้ได้อย่างไร
สุรัตนา อยู่กำเนิด นักสื่อสารแรงงาน ศูนย์ข่าวอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ รายงาน
