อนาคตคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคล 10 โอกาสเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง

โดย บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ 
 
ปัจจุบันประเทศไทยมีกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาเกี่ยวกับสถานะและสิทธิอาศัยอยู่ในประเทศไทยหลายกลุ่ม ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีทั้งในส่วนที่อาศัยอยู่ดั้งเดิมแต่ตกสำรวจจากทางราชการ และกลุ่มที่อพยพมาจากประเทศเพื่อนบ้านด้วยเหตุผลทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความไม่ปลอดภัยในชีวิต โดยบางส่วนไม่สามารถส่งกลับประเทศต้นทางได้จำนวนประมาณ 1-2 ล้านคนเศษ และมีแนวโน้มจะเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้สถานภาพการดำรงชีวิตของบุคคลดังกล่าวไม่เอื้อต่อความมั่นคงและสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ดังนั้นหากปล่อยไว้โดยไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติในระยะยาวอย่างรุนแรง โดยผลกระทบดังกล่าวไม่จำกัดเฉพาะที่จะเกิดจากกลุ่มบุคคลกลุ่มนี้โดยตรงเท่านั้น แต่จะรวมถึงกลุ่มบุตรหลานที่จะเกิดขึ้นในภายหลังซึ่งจะมีปัญหาด้านสังคมตามมา อันจะเป็นการเพิ่มความรุนแรงของสภาพปัญหาให้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย  
 
อย่างไรก็ตามประเทศไทยได้ตระหนักดีถึงความสำคัญของบุคคลกลุ่มนี้โดยเฉพาะต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย โดยมีการพิจารณาที่จะบรรจุประเด็นดังกล่าวในร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 เพื่อจัดระบบการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ สิทธิมนุษยชน ความมั่นคงของประเทศ และความต้องการทางเศรษฐกิจควบคู่กัน
 
คำว่า “บุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ” หมายถึง บุคคลที่ตกอยู่ในสถานะไร้รัฐ หรือไร้สัญชาติ หรือไม่มีสถานะที่ได้รับการรับรองอย่างถูกกฎเกณฑ์ทางกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย ตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร กฎหมายสัญชาติ กฎหมายคนเข้าเมือง และกฎหมายการทำงานของคนต่างด้าว รวมถึงภาวการณ์ไร้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามบทบัญญัติในหมวด 3 ของรัฐธรรมนูญ 2550 
ประการต่อมาเวลากล่าวถึงคำว่า “บุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ” คำๆนี้มีความเกี่ยวพันกับเรื่อง “การไม่ถูกนับว่าเป็นคนไทย” นั้นหมายความว่า การไม่ถูกนับว่าเป็นคนไทยสามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่บรรพบุรุษอาจอยู่อาศัยและเกิดในประเทศไทยมาเป็นร้อยปีแต่ไม่ถูกนับว่าเป็นคนไทย หรือบุคคลที่พ่อแม่เป็นคนข้ามชาติแต่ตนเองเกิดในประเทศไทย กลุ่มบุคคลเหล่านี้ก็อาจเข้าข่ายว่าเป็นคนต่างชาติเข้าเมืองผิดกฎหมาย และหากว่าคนกลุ่มนี้ทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะมีสถานะการเข้าเมืองอย่างใดก็ตาม ก็จะเข้าข่ายเป็นแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายตามไปด้วย ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ตามมาตรา 57 วรรค 1 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 นั้นได้บัญญัติไว้ว่า “ถ้าไม่ปรากฏหลักฐานอันเพียงพอที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะเชื่อถือได้ว่าเป็นคนมีสัญชาติไทย ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นคนต่างด้าว จนกว่าผู้นั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสัญชาติไทย” 
 
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้จำแนกประเภทกลุ่มคนไร้รัฐ หรือไร้สัญชาติ ที่เกิดแก่บุคคลธรรมดาที่เกิดหรืออาศัยในประเทศไทย 4 ประเภท คือ 
   
(1) ความไร้รัฐที่เกิดขึ้นกับกลุ่มชนพื้นเมือง เหตุจากที่ไม่มีเอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ออกโดยหน่วยงานราชการของไทย หรือหากมีเอกสารที่ทางรัฐไทยออกให้ก็เป็นเอกสารที่มิได้ยอมรับความเป็นไทยโดยสัญชาติของพวกเขา เช่น กลุ่มบุคคลที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่สูงของประเทศไทย (ชาวเขา หรือชาวไทยภูเขา ปัจจุบันเรียกว่า บุคคลบนพื้นที่สูง) กลุ่มบุคคลที่อาศัยอยู่บริเวณชายทะเล ได้แก่ ชาวเลในบริเวณหมู่เกาะสุรินทร์ และบุคคลที่อาศัยในบริเวณพื้นที่ป่าตามแนวชายแดน ซึ่งการปักปันเส้นเขตแดนประเทศยังไม่สำเร็จ
 
(2) ความไร้รัฐเกิดกับบุคคลที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ หรือที่เรียกว่า ชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย กลุ่มชาติพันธุ์ที่ประสบปัญหาความไร้รัฐเกิดจากเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบรรพบุรุษซึ่งไม่ใช่คนสัญชาติไทยโดยการเกิดโดยหลักการสืบสายโลหิต กลุ่มชาติพันธุ์ที่ประสบปัญหาไร้รัฐ คือ กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้าจากบรรพบุรุษที่เกิดนอกประเทศไทย และกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้าจากบรรพบุรุษที่เกิดในประเทศไทย ที่ขาดเอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคล หรือเอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลบกพร่อง
(3) ความไร้รัฐที่เกิดแก่ผู้อพยพเข้ามาในประเทศไทย หรือผู้ลี้ภัย หรือผู้หนีภัยการสู้รบ รวมทั้งเพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจ เช่น ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า จากการสู้รบระหว่างรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อยในพม่า ที่ไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาของตนได้ เป็นต้น
 
(4) ความไร้รัฐที่เกิดแก่บุคคลไร้รากเหง้า คือ เป็นบุคคลที่สูญเสียความรู้ในรากเหง้าของตนเอง โดยไม่ทราบว่าคนนั้นเป็นบุตรของใคร หรือบุคคลนั้นไม่รู้ว่าตนเกิด ณ ที่ใด เช่น บุคคลที่เป็นเด็กจรจัด หรืออดีตเด็กจรจัด ที่พลัดพรากจากบุพการีตั้งแต่ก่อนจำความได้ หรือเด็กที่เกิดในยุคที่การจดทะเบียนราษฎรของประเทศไทยยังไม่ชัดเจน หรือเด็ก หรืออดีตเด็กที่อาศัยในพื้นที่ที่ปฏิบัติการด้านทะเบียนราษฎรยังมีความบกพร่องไม่ทั่วถึง
 
จากข้อมูลของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง แสดงถึงจำนวนผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ อย่างน้อย 4 กลุ่ม รวมทั้งสิ้น 3,261,058 คน (เมื่อ 4 เมษายน 2554) แบ่งเป็น
 
(1) แรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่า ลาว กัมพูชา (มีเลข 13 หลักขึ้นต้นด้วยเลข 00) รวม 2,581,360 คน ในที่นี้ตัวเลขมาจากการจดทะเบียนรวม 6 ครั้ง คือ พ.ศ.2547 1,161,013 คน, พ.ศ.2549 256,899 คน, พ.ศ.2550 12,479 คน, พ.ศ.2551 96,708 คน, พ.ศ.2552 1,054,261 คน, พ.ศ. 2552 เฉพาะบุตรของแรงงานข้ามชาติ จำนวน 5,317 คน 
 
(2) ชนกลุ่มน้อยที่เกิดหรืออาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานแล้ว แต่ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย (มีเลข 13 หลักขึ้นต้นด้วยเลข 6 และ 7) รวมประมาณ 323,084 คน ตามความหมายกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย หมายถึง คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศเป็นกรณีพิเศษ ตามอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรี ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และกระทรวงมหาดไทยได้จัดทำทะเบียนประวัติไว้ รวม 15 กลุ่ม คือ ญวนอพยพ (ประมาณ 3.6 หมื่นคนเศษ), อดีตทหารจีนคณะชาติและจีนฮ่ออพยพ (ประมาณ 2.1 หมื่นคนเศษ), จีนฮ่ออิสระ (ประมาณ 1.4 หมื่นคนเศษ), อดีตโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา (ประมาณ 498 คน), ไทยลื้อ (ประมาณ 9 พันคนเศษ), ลาวอพยพ (ประมาณ 9 พันคนเศษ), เนปาลอพยพ (ประมาณ 1 พันคนเศษ), ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า (ประมาณ 3.2 หมื่นคนเศษ), ผู้หลบหนีเข้าเมืองจากพม่า (ประมาณ 1 แสนคนเศษ), ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าเชื้อสายไทย (ประมาณ 7.8 พันคนเศษ), บุคคลบนพื้นที่สูง เผ่าตองเหลือง และชุมชนบนพื้นที่สูงที่มิใช่คนไทย (ประมาณ 6.6 หมื่นคนเศษ), ผู้อพยพเชื้อสายไทยจากจังหวัดเกาะกง  กัมพูชา (ประมาณ 1.3 หมื่นคนเศษ), ผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา (ประมาณ 2.2 พันคนเศษ), ม้งถ้ กระบอกที่ทำประโยชน์ (ประมาณ 2 พันคนเศษ) , ชาวมอร์แกนที่ประสบภัยสึนามิ (ประมาณ 539 คน) คนกลุ่มที่ 2 นี้กระจายอยู่ในทุกจังหวัด และมากกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในจังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่  แม่ฮ่องสอน และทางภาคตะวันตก คือ ตาก และกาญจนบุรี
 
(3) คนไร้รัฐ/ไร้สัญชาติ/ไร้รากเหง้า หรือบุคคลผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน ซึ่งกรมการปกครองได้เริ่มสำรวจตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2548 (มีเลข 13 หลักขึ้นต้นด้วยเลข 0) จำนวน 218,538 คน แบ่งเป็น 
 
     1) กลุ่มที่อยู่อาศัยในประเทศไทยมานาน กลับประเทศต้นทางไม่ได้ รวม 148,389 คน คือ เป็นกลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยที่มีความเกี่ยวพันกับผู้ที่ได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติชนกลุ่มน้อยไว้เดิมแต่ตกสำรวจ (คือเกี่ยวพันกับคนในกลุ่มข้อ 2) กับเป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่มีความเกี่ยวพันกับชนกลุ่มน้อยแต่ได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยติดต่อกันเป็นเวลานาน ก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2542 ในที่นี้รวมถึงกลุ่มคนไทยพลัดถิ่นประมาณ 20,000 คน 
     2) กลุ่มเด็กนักเรียนที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา รวม 65,663 คน คือ เป็นนักเรียน นักศึกษา ทุกระดับชั้นและทุกประเภทการศึกษารวมถึงการศึกษานอกโรงเรียน ที่ไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎรและเลขประจำตัว 13 หลัก ต้องอาศัยอยู่ในประเทศไทยติดต่อกันและไม่สามารถกลับประเทศต้นทางได้ และจะต้องอาศัยอยู่ในประเทศไทยก่อนวันที่ 18 มกราคม 2548
    3) กลุ่มคนไร้รากเหง้า รวม 4,461 คน เป็นบุคคลที่ไร้รากเหง้าหรือไม่ปรากฏบุพการี หรือบุพการีทอดทิ้ง ซึ่งอยู่ในสถานสงเคราะห์หรือควบคุมดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไม่มีชื่อและรายการบุคคลในทะเบียนบ้าน (ท.ร.13 หรือ ท.ร.14) ต้องอาศัยอยู่ในประเทศไทยติดต่อกันก่อนวันที่ 18 มกราคม 2548
    4) กลุ่มบุคคลที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ รวม 25 คน คนกลุ่มนี้เป็นบุคคลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยติดต่อกันก่อนวันที่ 18 มกราคม 2548 และเป็นบุคคลที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศไทยในด้านต่างๆที่มีผลงาน ความรู้ ความเชี่ยวชาญที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ เช่น ด้านการศึกษา ศิลปวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การกีฬา รวมถึงด้านอื่น ๆ เป็นที่ยอมรับของสังคมโดยรวม และจะต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ต่ำกว่าระดับกรมหรือเทียบเท่าเป็นผู้รับรอง
 
(4) ผู้ลี้ภัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราวแถบชายแดนไทย-พม่าทั้ง 9 แห่ง รวม 138,076 คน (มีเลข 13 หลักขึ้นต้นด้วยเลข 000)
 
หมายถึง ผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิง 9 แห่งตามชายแดนไทย-พม่า ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน 4 ค่าย (บ้านในสอย , บ้านแม่สุรินทร์ , บ้านละอูน , บ้านลามาหลวง) เป็นค่ายผู้ลี้ภัยชาวคะเรนนี รวม 49,696 คน ส่วนค่ายผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง ตั้งอยู่ในจังหวัดตาก 3 ค่าย (แม่หละ ,อุ้มเปี้ยม , นุโพ) รวม 77,030 คน จังหวัดกาญจนบุรี  (บ้านต้นยาง) รวม 3,917 คน และจังหวัดราชบุรี (บ้านถ้ำหิน) รวม 6,808 คน จังหวัดละ 1 ค่าย กลุ่มนี้เป็นผู้ลี้ภัยสงครามรวมถึงผลกระทบจากสงคราม เป็นชาวบ้านที่ตกอยู่ท่ามกลางการสู้รบระหว่างกองทัพรัฐบาลทหารพม่ากับกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อย และได้หลบหนีเข้ามาลี้ภัยอยู่ในประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ.1951 รัฐบาลไทยจึงไม่เรียกประชาชนที่อพยพมาจากพม่าว่า ผู้ลี้ภัย แต่เรียกว่า ผู้หนีภัยจากการสู้รบหรือผู้หลบหนีจากภัยสงครามแทน และเรียกค่ายผู้ลี้ภัยว่า พื้นที่พักพิงชั่วคราว
 
จากการประมวลบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมไทย ที่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคลในอนาคต อย่างน้อยมี 10 ประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
 
(1) ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้กรอบอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ประเทศไทยมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ ได้แก่ พม่า ลาว กัมพูชา รวมแนวชายแดนระยะทางประมาณ 5,502 กิโลเมตร มีช่องทางการค้าชายแดนระหว่างกันกว่า 70 จุด รวมทั้งมีการพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ภายใต้กรอบความร่วมมือต่าง ๆในระดับ
อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง อาทิ โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) เขตเศรษฐกิจพิเศษ ประตูการค้าเชื่อมตะวันออก-ตะวันตก (East West Economic Corridor) เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้การค้าชายแดนมีบทบาทสำคัญที่มีส่วนช่วยสนับสนุนการพัฒนาภูมิภาค รวมถึงในเรื่องของการเคลื่อนย้ายสินค้า แรงงานข้ามชาติ และปัจจัยการผลิตอย่างเสรีมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามพบว่าประเทศไทยยังขาดการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับในเรื่องนี้ เช่น จังหวัดชายแดนขาดหน่วยงานเฉพาะที่ทำหน้าที่ประสานความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน และการมีอำนาจในการจัดการเรื่องแรงงานข้ามชาติแถบชายแดนได้โดยตรง 
 
(2) ความไม่แน่นอนทางการเมืองและความมั่นคงในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในประเทศพม่าที่มีปัญหาการถูกปิดกั้นทางเศรษฐกิจจากกลุ่มประเทศตะวันตก และมีปัญหาชนกลุ่มน้อยภายในที่ยังมีความขัดแย้งและสู้รบ ส่งผลให้เกิดการลี้ภัยของประชาชนเข้ามาในประเทศไทยบ่อยครั้ง รวมถึงประเทศไทยเองก็ไม่มีนโยบายการจัดการด้านผู้ลี้ภัยที่ชัดเจน ยิ่งทำให้ประชาชนกลุ่มนี้ซึ่งหวาดกลัวภัยจากความตายเนื่องจากการต้องถูกส่งกลับ จึงต้องผันตนเองจากผู้ลี้ภัยกลายเป็นแรงงานข้ามชาติเพื่อความอยู่รอดของชีวิตแทน ดังนั้นการพิจารณาถึงการมีนโยบายจัดการประชากรข้ามชาติอย่างเป็นระบบในประเทศไทยที่สอดคล้องกับบริบทของคนทุกกลุ่มจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
 
(3) แนวทางบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยยังไม่มีความชัดเจน อาทิ การจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติ การเข้าไม่ถึงสิทธิประโยชน์ตามพรบ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 หรือการไม่มีการสร้างระบบเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของกลุ่มต่างชาติพันธุ์ รวมถึงยังเห็นได้จากอัตราส่วนแรงงานข้ามชาติที่ต้องเสียชีวิตจากโรคที่ป้องกันได้สูงขึ้น มีการแบ่งแยกสร้างความเกลียดชัง เป็นต้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ความสำคัญกับการกำหนดมาตรการรองรับแรงงานข้ามชาติที่จะเข้ามาในประเทศมากขึ้นในอนาคต
 
(4) ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และการเข้าถึงสิทธิและกระบวนการทางยุติธรรม ยังเป็นปัญหาความไม่เป็นธรรมที่สำคัญในกลุ่มแรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคล ในด้านเศรษฐกิจ ประชากรกลุ่มนี้ยังไม่สามารถเข้าถึงการจ้างงานที่มีคุณค่าได้ การทำงานต้องเผชิญกับความเสี่ยง/ความไม่ปลอดภัยจากการทำงาน ได้รับค่าจ้างและสวัสดิการที่ไม่เป็นธรรม เมื่อประสบปัญหาและต้องการการเข้าถึงสิทธิและกระบวนการทางยุติธรรมเป็นไปได้ยาก ทั้งข้อจำกัดจากการสื่อสารและความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น นอกจากนั้นการเข้าถึงบริการทางสังคมยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะประชากรที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล สื่อสารภาษาไทยไม่ได้ ทั้งในด้านสุขภาพ การศึกษา หรือการคุ้มครองแรงงาน นี้ยังมิพักกล่าวถึงเรื่องของการถูกกีดกันออกจากระบบกฎหมาย ขาดสิทธิที่ได้รับการยอมรับ ยิ่งทำให้มีความเปราะบางต่อการถูกเอาเปรียบ ถูกเลือกปฏิบัติ แสวงหาสินบนมากยิ่งขึ้นไป
 
อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวในขณะเดียวกันรัฐบาลไทยก็ได้ดำเนินนโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยพยายามส่งเสริมสวัสดิการสังคมให้กับประชาชนทุกกลุ่มภายในประเทศ เพื่อให้ประชาชนทุกคนบนแผ่นดินไทยสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานและโอกาสได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือทางสังคม การประกันสังคม และการบริการทางสังคม 
 
(5) โครงสร้างประชากรไทยมีแนวโน้มประชากรวัยสูงอายุเพิ่มขึ้น ขณะที่วัยเด็กและวัยแรงงานลดลง ทำให้จำเป็นต้องมีการจ้างงานแรงงานข้ามชาติเพิ่มขึ้น ประเทศไทยได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ และจะเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในอีก 15 ปีข้างหน้า ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนกำลังคนในอนาคต พบว่าสัดส่วนประชากรเด็ก: แรงงาน: ผู้สูงอายุ = 20.5: 67.6: 11.9 ในปี 2553 และจะลดลงเป็น 18.3: 66.9: 14.8 ในปี 2559  แต่อย่างไรก็ตามความต้องการแรงงานในระบบเศรษฐกิจกลับเพิ่มขึ้น ดังนั้นการขาดแคลนแรงงานไทยจะเป็นปัญหาสำคัญ ผนวกกับสถานการณ์ที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้นการเข้ามาของแรงงานข้ามชาติจะมีมากขึ้น ทั้งการเข้ามาช่วยดูแลผู้สูงอายุ และเป็นแรงงานในระบบเศรษฐกิจไทย 
 
(6) ความคืบหน้าของพรบ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 การย้ายถิ่นของแรงงานข้ามชาติกับการค้ามนุษย์มีความเชื่อมโยงและคาบเกี่ยวกัน เนื่องจากมีแรงงานข้ามชาติจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อของกระบวนการค้ามนุษย์ การมีพรบ.ฉบับนี้ได้ทำให้เกิดความชัดเจนในแนวทางที่จะวิเคราะห์กรณีที่มีผู้เสียหาย อันจะนำไปสู่การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายได้อย่างสอดคล้องและมีกลไกการช่วยเหลือดูแลที่ชัดเจน
 
(7) รัฐบาลไทยมีนโยบายที่เอื้อต่อการเข้าถึงคุณภาพชีวิตแรงงานทุกกลุ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งแรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคลเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับการคุ้มครอง ไม่ว่าจะเป็นการเกิดขึ้นมาของพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ.2553 และพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีว
อนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 รวมถึงการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ… หรือการจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับบูรณาการแรงงาน) พ.ศ….. เหล่านี้ถือว่าเป็นการเอื้อต่อการคุ้มครองแรงงานมากยิ่งขึ้น
 
(8) ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาหลักด้านต่างๆที่จะเอื้ออำนวยให้แรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคลได้รับการคุ้มครอง เช่น ด้านสิทธิมนุษยชนจำนวน 7 ฉบับ ได้แก่ (1) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (2) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (3) อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ และพิธีสารเลือกรับเรื่องการรับข้อร้องเรียน (4) อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และพิธีสารเลือกรับทั้ง 2 ฉบับ เรื่องความเกี่ยวพันของเด็กในความขัดแย้งกันทางกำลังอาวุธ และเรื่องการค้าเด็ก โสเภณีเด็กและสื่อลามกเด็ก (5) อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (6) อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี และ (7) อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ ในขณะเดียวกันยังเป็นภาคีกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ค.ศ. 1949 รวมอีก 4 ฉบับ นอกจากนั้นประเทศไทยกำลังพิจารณาที่จะลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยบังคับ รวมถึงประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศจำนวน 14 ฉบับ และมีเจตนารมณ์ที่จะให้สัตยาบันต่ออนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98
 
(9) การเป็นประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ภายในปี 2558 การเป็นประชาคมอาเซียนเป็นความท้าทายและโอกาสของประเทศไทย ทั้งนี้การจัดตั้งประชาคมอาเซียนมีองค์ประกอบสำคัญ คือ ประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Committee: ASC) ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community: SCC และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) ซึ่งถือเป็น 3 เสาหลัก ที่จะส่งผลให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง ในส่วนของประเทศไทย การรวมตัวกันอย่างใกล้ชิดทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมดังกล่าวจะช่วยเพิ่มโอกาสในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะการใช้เป็นเวทีส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาค ในการแก้ไขปัญหาหรือการเผชิญกับภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง เช่น การค้ามนุษย์ การละเมิดสิทธิแรงงานข้ามชาติ การเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเสรี เป็นต้น อย่างไรก็ตามข้อมูลจากการวิจัยเรื่องแผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาเด็กเร่ร่อน ตั้งแต่ปี 2550-2553 ของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กลับระบุว่าเมื่อประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน มีแนวโน้มที่จะทำให้มีเด็กเร่ร่อนที่เป็นเด็กข้ามชาติเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้นถึง 50% โดยเด็กเร่ร่อนส่วนใหญ่จะเป็นเด็กพม่า กัมพูชา ลาว อาจส่งผลให้เกิดปัญหาอาชญากรรมและการขายบริการทางเพศสูงขึ้น
 
(10) แนวนโยบายของรัฐบาลไทยในระดับชาติ รัฐบาลไทยได้มีความพยายามในการจัดการกับปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพ การศึกษา สถานะบุคคล และการคุ้มครองและเข้าถึงสิทธิแรงงานของแรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคล ไม่ว่าจะเป็น
 
(1)  การมีแนวกำหนดในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 
 
     (1.1) ด้านสุขภาพ ในมาตรา 51 ระบุว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการทางสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน และผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการบริการสาธารณสุขจากรัฐซึ่งต้องเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐอย่างเหมาะสมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและทันต่อเหตุการณ์ รวมถึงในมาตรา 80 ระบุว่า รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบาย ด้านสังคม การสาธารณสุข การศึกษา และวัฒนธรรม ในข้อที่ (2) ส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาระบบสุขภาพที่เน้นการสร้างเสริมสุขภาพ อันนำไปสู่สุขภาวะที่ยั่งยืนของประชาชน รวมทั้งจัดและส่งเสริมให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้เอกชนและชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาสุขภาพและการจัดบริการสาธารณสุขโดยผู้มีหน้าที่ให้บริการดังกล่าวซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรมย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย” 
 
     (1.2) ด้านการศึกษา ในมาตรา 49 ระบุว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก ต้องได้รับสิทธิตามวรรคหนึ่ง และการสนับสนุนจากรัฐเพื่อให้ได้รับการศึกษาโดยทัดเทียมกับบุคคลอื่น การจัดการศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพหรือเอกชน การศึกษาทางเลือกของประชาชน การเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ย่อมได้รับความคุ้มครองและส่งเสริมที่เหมาะสมจากรัฐ”
 
(2)  นโยบายของรัฐบาลไทย 
 
     (2.1) มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 6 พฤษภาคม 2548 เรื่องสุขภาพ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการให้มีการจ้างพนักงานสาธารณสุขต่างด้าว (พสต.) ช่วยงานในระบบบริการสุขภาพ ซึ่งต่อมากรมบัญชี กลางได้เปิดช่องให้ใช้งบประกันสุขภาพในการจัดจ้าง พสต. ได้
 
     (2.2) มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 23 มีนาคม 2553 เรื่องสิทธิในหลักประกันสุขภาพ กล่าวถึง การให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ มติครม.ดังกล่าวครอบคลุมกลุ่มบุคคลตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มที่ ครม.มีมติรับรองสถานะให้อาศัยอยู่ถาวร (เลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3,4,5,8) (2) กลุ่มที่ถือบัตรประจำตัวผู้ไม่มีสัญชาติไทย (เลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 6,7) และ (3) กลุ่มที่ถือบัตรบุคคลผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน (เลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 0) ซึ่งเป็นนักเรียนในสถาบันการศึกษา, คนไร้รากเหง้า และบุคคลที่ทำคุณประโยชน์เป็นเงิน 472,823,683.30 บาท รวม 457,409 คน
     (2.3) มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 เรื่องการศึกษา กล่าวว่า “คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ขยายโอกาสทางการศึกษาของบุคคลในกลุ่มดังกล่าวซึ่งทำให้เด็กทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยซึ่งรวมถึงเด็กชาติพันธุ์ เด็กไร้รัฐ บุตรของแรงงานโยกย้ายถิ่นฐาน รวมทั้งเด็กที่เป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองทุกคน มีสิทธิเรียนฟรี 15 ปี รัฐบาลได้จัดสรรค่าใช้จ่ายรายหัวของเด็กกลุ่มนี้ในอัตราเดียวกับค่าใช้จ่ายรายหัวที่จัดสรรให้กับเด็กไทย และเมื่อจบการศึกษาแล้ว เด็กกลุ่มนี้มีสิทธิที่จะได้รับวุฒิบัตรเช่นเดียวกันกับเด็กไทย”  ทั้งนี้ในมติครม.นี้ ได้ยกเว้นผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่ายังคงให้เรียนอยู่ในที่พักพิงชั่วคราว โดยในขณะนี้องค์กรเอกชนระหว่างประเทศได้มีการจัดการศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1- มัธยมศึกษาปีที่ 4 ในพื้นที่พักพิงทั้ง 9 แห่ง อย่างไรก็ตามหลักสูตรการศึกษายังไม่ได้รับการรับรองจากระบบการศึกษาภายนอก  
 
       (2.4) มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 18 มกราคม 2548 เรื่องสถานะบุคคล กล่าวว่า “คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้คำนึงถึงความรอบคอบและความมั่นคงของประเทศ ทั้งนี้การดำเนินการตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ให้จัดทำโครงการสำรวจจัดทำทะเบียนประวัติและเอกสารแสดงตน สำหรับบุคคลที่ไม่มีชื่ออยู่ในระบบทะเบียนราษฎร และโครงการเร่งรัดให้สถานะตามกฎหมายแก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยติดต่อกันเป็นเวลานานตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล”
 
     (2.5) ในปี พ.ศ.2553 ประเทศไทยได้ประกาศถอนข้อสงวนของไทยต่อข้อ 7 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งประกันสิทธิของเด็กที่จะได้รับการจดทะเบียนเกิดทันทีภายหลังจากการเกิด และสิทธิที่จะได้รับสัญชาติใดสัญชาติหนึ่ง ในปัจจุบันเด็กทุกคนที่เกิดในไทยมีสิทธิได้รับการจดทะเบียนเกิดตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2551 และภายใต้พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2551 นั้น บุตรของบุคคลต่างด้าวหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นระยะเวลานานหากเกิดในไทยมีสิทธิที่จะขอสัญชาติไทยได้ แต่หากมิได้เกิดในไทยแต่จบสถาบันอุดมศึกษาในไทยก็มีสิทธิขอสัญชาติไทยได้ กรณีเด็กไร้รากเง้าหากอยู่ในไทยอย่างน้อย 10 ปี และมีหลักฐานการเกิด ก็สามารถขอสัญชาติไทยได้เช่นกัน นอกจากนี้กรณีบุตรของแรงงานอพยพข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน มีการดำเนินการที่จะให้เด็กเหล่านี้ได้รับสัญชาติตามบิดาและมารดาของประเทศต้นทาง โดยได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานการจดทะเบียนการเกิดและการพิสูจน์สัญชาติของบิดามารดาที่เป็นแรงงานอพยพข้ามชาติ
 
     (2.6) สิทธิในการทำงานและได้รับการคุ้มครองแรงงานตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้กำหนดให้ลูกจ้างทุกคนมีสิทธิได้รับค่าแรงที่ไม่ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมายกำหนด ชั่วโมงการทำงาน ค่าล่วงเวลา และสวัสดิการต่างๆ ในอัตราที่เท่าเทียมกันสำหรับงานที่มีลักษณะ คุณภาพ และปริมาณอย่างเดียวกัน ดังนั้นลูกจ้างซึ่งเป็นผู้มีปัญหาสถานะบุคคลที่ได้รับการจ้างงานในฐานะแรงงาน ก็ย่อมได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงานและมีสิทธิตามกฎหมาย ที่จะได้รับค่าจ้างที่เท่าเทียมกับกับแรงงานประเภทอื่น ๆ  นอกจากนั้นแล้วยังพบว่า
 
ปี 2548 รัฐบาลไทยเปิดให้แรงงานข้ามชาติจากประเทศลาวและกัมพูชาได้ดำเนินการพิสูจน์สัญชาติ เพื่อปรับสถานะจากแรงงานข้ามชาติที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ไปสู่การมีสถานะเป็นผู้เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย 
 
ปี 2549 มีการขยายการประกันสุขภาพไปยังครอบครัวและผู้ติดตามของแรงงานข้ามชาติตามความสมัครใจ ทำให้ผู้ติดตามสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้น
 
ปี 2551 เกิดแนวปฏิบัติด้านการประกันสุขภาพ ที่ได้เปิดกว้างให้กับแรงงานข้ามชาติและครอบครัวที่ไม่มีเอกสารใดๆเลยเข้าถึงบริการสุขภาพได้มากขึ้น โดยให้แต่ละสถานบริการพิจารณาตามความเหมาะสมได้ด้วยตนเอง
 
ปี 2552 กระทรวงแรงงานเปิดโอกาสให้มีการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติในกิจการบางประเภทที่ไม่สามารถจดทะเบียนในปีที่ผ่านๆมาได้ ก็สามารถจดทะเบียนได้แล้ว เช่น กิจการสถานศึกษา มูลนิธิ สมาคมและสถานพยาบาล, กิจการให้บริการต่างๆ เช่น ซักอบรีด การบริการที่พัก เป็นต้น
 
ปี 2553 สำนักงานประกันสังคม ตื่นตัวและดำเนินการชี้แจงเรื่องหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียน และการให้ความคุ้มครองลูกจ้างที่เป็นแรงงานข้ามชาติสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วเข้ามาทำงานถูกกฎหมาย ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน พร้อมทั้งจ่ายเงินสมทบ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ 7 กรณี ตามพระราชบัญญัติประกันสังคมพ.ศ.2533 ได้แก่ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน
 
ปี 2554 มิถุนายน รัฐบาลไทยโดยกระทรวงแรงงานเปิดให้มีการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติรอบใหม่ เนื่องจากในปัจจุบันมีแรงงานมากกว่าหนึ่งล้านคนที่ทำงานแบบไม่ถูกกฎหมายและเข้าไม่ถึงการจดทะเบียน ทำให้แรงงานต้องเผชิญกับการเข้าไม่ถึงสิทธิต่างๆ เช่น สิทธิด้านสุขภาพ เป็นต้น   
 
โดยสรุปจากที่กล่าวมาจึงเห็นชัดเจนว่าวันนี้สถานการณ์การพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคลในประเทศไทย จึงเป็นความท้าทายของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อการทำให้คนกลุ่มนี้ซึ่งเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่บนแผ่นดินไทย ได้รับการปกป้อง คุ้มครอง เข้าถึง สิทธิขั้นพื้นฐาน และบริการของรัฐอย่างมีคุณค่าและสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นสังคมอนาคตที่น่าอยู่และทุกคนสร้างร่วมกันได้จริง
 
////////////////////////