วันที่ 7 ตุลาคม 2563 คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.)ได้ ยื่นข้อเรียกร้องในวัน“งานที่มีคุณค่าสากล”ปี พ.ศ.2563 ผ่านนายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เนื่องในวัน “วันงานที่มีคุณค่า”(World Day for Decent Work)หรือวัน Decent Work
ด้วยวันที่ 7 ตุลาคมของทุกปีเป็น“วันงานที่มีคุณค่า”(World Day for Decent Work)หรือวัน Decent Work ซึ่งที่ประชุมใหญ่ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) ได้กำหนดขึ้นในการประชุมใหญ่ครั้งที่ พ.ศ. 2547 ขบวนการแรงงานทั่วโลกถือเป็นวันสำคัญ และออกมาจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อการจ้างงานที่ดีและมั่นคง โดยเชื่อว่างานที่มีคุณค่าจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทำงานให้ดีขึ้น อย่างมั่นคงยั่งยืน
เนื่องจากสภาพปัญหาการจ้างงาน และระบบประกันสังคมของประเทศไทย ยังไม่สามารถที่จะเป็นหลักประกัน และนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทำงานให้ดีขึ้นมาได้(รายละเอียดตามเอกสารประกาศเจตนารมณ์ที่ส่งมาด้วย)
ดังนั้นเพื่อให้เกิดการแก้ไขปรับปรุง อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทำงานให้ดีขึ้น สอดคล้องกับหลักการขององค์การแรงงานระหว่าประเทศ(ILO) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.) จึงขอยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล จำนวน 7 ข้อ ดังนี้
ข้อเรียกร้องเนื่องในวันงานที่มีคุณค่าสากล (Decent Work ) ปี พ.ศ.2563
- รัฐต้องจัดให้มีสวัสดิการถ้วนหน้าที่มีคุณภาพให้ประชาชนทุกคน ได้เข้าถึงอย่างเท่าเทียมโดยไม่เลือกปฏิบัติ
- ด้านสาธารณสุข ประชาชนทุกคนต้องเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและไม่มีค่าใช้จ่าย
- ด้านการศึกษา ประชาชนทุกคนต้องเข้าถึงการศึกษาตามความต้องการในทุกระดับ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- รัฐต้องจัดหางานให้ประชาชนวัยทำงานมีงานทำอย่างทั่วถึง จัดหาอาชีพให้กับประชาชนที่ออกจากงาน และ มีมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพให้กับประชาชนที่ไม่มีงานทำอย่างเพียงพอ และยกเลิกการจ้างงานที่ไม่มีความมั่นคงทุกรูปแบบ
- รัฐต้องกำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรมให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน
3.1 กำหนดนิยามค่าจ้างขั้นต่ำแรกเข้าให้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวอีก 2 คน ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ และต้องเท่ากันทั้งประเทศ
3.2 กำหนดให้มีโครงสร้างค่าจ้าง มีระบบการปรับค่าจ้างทุกปีไม่น้อยกว่าอัตราค่าครองชีพที่สูงขึ้น และรัฐต้องเร่งดำเนินการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 425 บาท ตามที่ได้ให้สัญญาไว้กับประชาชน
3.3 รัฐต้องควบคุมราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพไม่ให้แพงเกินจริง
- รัฐต้องปฏิรูปโครงสร้างการบริหาร สำนักงานประกันสังคม ให้เป็นองค์กรอิสระ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้ผู้ประกันตนมีส่วนร่วมในการบริหารอย่างแท้จริง รวมทั้งปรับสิทธิประโยชน์ ให้เพียงพอตามความจำเป็นให้กับผู้ ประกันตนโดยไม่เลือกปฏิบัติ ประกาศใช้อนุบัญญัติทั้งหมดที่ออกตาม พ.ร.บ.ประกันสังคมแก้ไขปี 2558 และดำเนินการเลือกตั้งกรรมการประกันสังคมแทนชุดที่มาจากการแต่งตั้งของ ค.ส.ช.เป็นกรณีเร่งด่วน
- รัฐต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม สัดส่วน5%เท่ากันกับลูกจ้าง นายจ้าง และให้เลขาธิการประกันสังคมเร่งดำเนินการให้รัฐบาลนำเงินสมทบค้างจ่าย จำนวน 87,737 ล้านบาท มาคืนให้กับประกันสังคมทั้งหมดเป็นกรณีเร่งด่วน
- ให้ประกันสังคมจัดตั้งสถาบันการเงินเพื่อให้บริการผู้ประกันตน
- ให้ประกันสังคมจัดสร้างโรงพยาบาลเพื่อให้บริการผู้ประกันตน
เพื่อให้ข้อเรียกร้องเกิดการแก้ไขปรับปรุงอย่างเป็นรูปธรรม ขอให้รัฐบาลจัดตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการตามข้อเรียกร้อง โดยให้มีตัวแทนคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ร่วมเป็นคณะทำงานด้วย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.) หวังเป็นอย่างยิ่งว่าปัญหาตามข้อเรียกร้อง รัฐบาลจะให้ความสำคัญ และพิจารณาแก้ไขปรับปรุงในลำดับต่อไป
นายสมพร ขวัญเนตร ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ได้อ่าน คำประกาศเจตนารมณ์เนื่องในวันงานที่มีคุณค่าสากล (Decent Work Day ) 2020 รัฐบาลต้อง“ปฏิรูปการจ้างงาน ปฏิรูปประกันสังคม เพื่อความมั่นคงของคนทำงาน” ดังนี้
ด้วยวันที่ 7 ตุลาคมของทุกปี เป็น “วันงานที่มีคุณค่า” (World Day for Decent Work) หรือวัน Decent Work ซึ่งที่ประชุมใหญ่ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) ได้กำหนดขึ้น ในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 87 พ.ศ. 2547 ขบวนการแรงงานทั่วโลกถือเป็นวันสำคัญ และออกมาจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อการจ้างงานที่ดีและมั่นคง โดยเชื่อว่างานที่มีคุณค่าจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทำงานให้ดีขึ้นอย่างมั่นคงยั่งยืน องค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) ได้ให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองสิทธิแรงงาน จึงได้ให้แนวทาง และจัดลำดับความสำคัญเพื่อคุ้มครองสิทธิแรงงานไว้สามประการ ดังนี้
- การจัดให้มีงานทำและขจัดความยากจน
- การคุ้มครองสิทธิแรงงาน
- การส่งเสริมประชาธิปไตย และสิทธิแห่งมนุษยชน
ต่อมาได้มีคำประกาศแห่งฟิลาเดลเฟีย ในการประชุมใหญ่ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) ปี พ.ศ. 2487 ดังนี้
- แรงงานไม่ใช่สินค้า
- เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการจัดตั้งสมาคมเป็นสิ่งสำคัญสู่ความก้าวหน้าอันยั่งยืน
- ความยากจน ณ แห่งไดแห่งหนึ่ง ย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญรุ่งเรืองในทุกแห่ง
- มนุษย์ทุกคน โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ความเชื่อ และเพศได มีสิทธิที่จะแสวงหา สวัสดิภาพทางวัตถุ และพัฒนาด้านจิตใจ ภายในเงื่อนไขของเสรีภาพ ความมีศักดิ์ศรี ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และโอกาสอันเท่าเทียมกัน
“งานที่มีคุณค่า” จึงหมายถึง งานซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการเกี่ยวกับวิถีชีวิตและการทำงานของมนุษย์ อันประกอบด้วย หลักการที่สำคัญ ดังนี้
- การมีโอกาสและรายได้ที่เพียงพอ
- การมีสิทธิ
- การได้แสดงออก
- การได้รับการยอมรับ
- การมีความมั่นคงในครอบครัว
- การได้พัฒนาตนเอง
- การได้รับความยุติธรรม
- การมีความเท่าเทียมทางเพศ
ประเทศไทยแม้จะเป็นหนึ่งใน 45 ประเทศสมาชิก ที่ร่วมก่อตั้งองค์การแรงงานระหว่างประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2462 แต่การให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับต่าง ๆ รวมทั้งการให้ความสำคัญต่อมาตรการต่าง ๆ เพื่อการคุ้มครองคนทำงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แทบจะไม่มีพัฒนาการที่จะเป็นหลักประกันแก่คนทำงานเลย
- สภาพปัญหาการจ้างงานที่ไม่มีความมั่นคง
- การทำสัญญาจ้างชั่วคราวทั้งภาครัฐและเอกชน
- การจ้างงานแบบเหมาค่าแรง
- การจ้างงานแบบเหมาช่วง
- การจ้างงานแบบรับงานไปทำที่บ้าน
- การจ้างงานแบบทำงานบ้าน
- การจ้างงานแบบนักศึกษาฝึกงาน
- การจ้างงานแบบรายชั่วโมง
- การจ้างงานกลุ่มลูกจ้างนอกระบบ
- การจ้างงานกลุ่มแรงงานข้ามชาติ
รวมทั้งการจ้างงานลักษณะต่างๆที่ไม่มีความมั่นคง และไม่อยู่ในมาตรฐานสากล
การปล่อยให้มีการจ้างงานรูปแบบดังที่กล่าวมาข้างต้น คนทำงานต้องเผชิญกับภาวการณ์ถูกคุกคามละเมิดสิทธิ์ ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกกดขี่ขูดรีด ถูกเลือกปฏิบัติ ได้รับค่าจ้าง สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์ต่างๆไม่เท่าเทียมกัน หากนำเอาหลักการของอนุสัญญาฉบับต่าง ๆ และหลักการของงานที่มีคุณค่ามาตรวจสอบ เปรียบเทียบ ประเทศไทยแทบจะไม่พบความก้าวหน้าอันใดเลยต่อการปฏิบัติตามมาตรการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ เห็นได้จากจำนวนสมาชิกของการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงานมีไม่ถึง 2 % การใช้สิทธิของสหภาพแรงงานและการเจรจาต่อรอง ไม่ได้รับการคุ้มครองที่ดีพอ จนทำให้การเจรจาข้อเรียกร้องใช้เวลายาวนานหลายเดือนหรือเป็นปี และเมื่อตกลงกันแล้วนายจ้างก็ยังละเมิดต่อข้อตกลง และที่รุนแรงคือการละเมิดต่อกฎหมาย เจ้าหน้าที่ กลไกรัฐ ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ปล่อยให้เป็นการเผชิญหน้าระหว่างคนงานกับนายจ้าง ในบางครั้ง บางกรณี เจ้าหน้าที่รัฐ มีการข่มขู่คุกคามคนงาน เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายนายจ้างด้วยซ้ำไป แรงงานนอกระบบ คนทำงานบ้าน คนทำงานอิสระ ลูกจ้างชั่วคราวของรัฐ รวมทั้งแรงงานข้ามชาติ ยังไม่สามารถเข้าถึงหลักประกันทางสังคมและถูกเลือกปฏิบัติตลอดมาขณะที่ทำงานเหมือนกัน ยิ่งในช่วงวิกฤตการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาแรงที่มีอยู่เดิมหนักเข้าอีก
- สภาพปัญหาของประกันสังคม
- การบริหารงานไม่มีความเป็นอิสระ
- ที่มาของเงินกองทุน
2.1 กองทุนประกันสังคม ช่วงปี 33-41 มาจาก รัฐ 5% ลูกจ้าง 5% นายจ้าง 5% ตั้งแต่ ปี 42 เป็นต้นมา รัฐ 2.75% ลูกจ้าง 5% นายจ้าง 5% (ฐานเงินคำนวณ 1650-15000)
2.2 กองทุนสวัสดิการของข้าราชการ มาจากเงินภาษี 100 %
- กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มาจากเงินภาษี 100 %
- ค่าใช้จ่ายต่อหัว ณ เดือนมิถุนายน 2563
3.1 กองทุนประกันสังคม 3,959 บาท ต่อหัว
- กองทุนสวัสดิการของข้าราชการ 12,589 บาท ต่อหัว
- กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 3,600 บาท ต่อหัว
- กองทุนประกันสังคมมีเงื่อนไขการเข้าถึงสิทธิ การให้บริการทางการแพทย์ไม่ครอบคลุมโรคทั้งหมด มีกำหนดระยะเวลาการรักษา และเพดานค่าใช้จ่าย กองทุนสวัสดิการของข้าราชการ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจ่ายตามความจำเป็นจนสิ้นสุดการรักษา
- รัฐยังค้างจ่ายเงินสมทบ ณ เดือน กันยายน 2563 จำนวน 87,373 ล้านบาท
- ผู้ประกันตน มาตรา 33 มาตรา 39 มาตรา 40 ได้รับสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกัน
- สิทธิประโยชน์ ว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัย และชราภาพยังไม่เพียงพอ
- อนุบัญญัติที่ออกตามพระราชบัญญัติประกันสังคม ปี 2558 ยังไม่ประกาศใช้ทั้งหมด
- กรรมการประกันสังคมไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการแต่งตั้งของ ค.ส.ช. ตั้งแต่ปี 2557
- ประกันสังคมไม่ได้มีสถาบันการเงินของตนเพื่อให้บริการผู้ประกันตนทางด้านการเงิน
- ประกันสังคมไม่ได้มีสถานพยาบาลของตนเพื่อให้บริการผู้ประกันตน
- เงินที่นำไปลงทุนของประกันสังคม ณ เดือนมีนาคม 2563 จำนวน 2,032,841 ล้านล้านบาท ลงทุน
ในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน หุ้นกู้บริษัทเอกชนที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และหน่วยลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 82 % เป็นจำนวน 1,671,176 ล้านล้านบาท ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น หุ้นสามัญ หน่วยลงทุนในหุ้นต่างประเทศ หน่วยลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน ทองคำ จำนวน 361,665 ล้านบาท
ประกันสังคมมีหลักการบริหารเพื่อเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข ในหมู่คนทำงาน ประกันสังคม จึงเป็นความหวังที่จะมาให้บริการด้านสวัสดิการให้กับผู้ประกันตนทั้งขณะทำงาน ว่างงาน และไม่ได้ทำงานแล้ว ปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนในช่วงวิกฤตโควิด-19 มาตรการเพื่อป้องกันบรรเทาการระบาดของรัฐ เป็นเหตุให้คนงานต้องตกงาน-หยุดงานชั่วคราวเพิ่มขึ้นหลายล้านคน มาตรการช่วยเหลือเยียวยายังไม่เพียงพอ การช่วยเหลือเยียวยาเป็นไปอย่างเชื่องช้า คนทำงานและครอบครัวได้รับความเดือดร้อนกันอย่างแสนสาหัส ทั้งที่มีเงินในกองทุนที่คนทำงานร่วมจ่ายมากกว่า 2 ล้านล้านบาท และยังเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาตลอด ในยามที่คนทำงานทุกข์ยากรัฐจึงควรเข้ามาดูแลช่วยเหลื่อบรรเทาทุกข์ให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ และทันต่อสถานการณ์ แม้ว่าปัจจุบันในประเทศไทยจะสามารถควบคุมการระบาดเอาไว้ได้ แต่ชะตากรรมของคนทำงานยังคงต้องทนทุกข์อยู่กับสถานการณ์เช่นนี้ไปอีกยาวนาน เนื่องจากทั้งโลกยังไม่สามารถควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เอาไว้ได้ ประกอบกับแนวโน้มการจ้างงานในยุคอุตสาหกรรม 4.0 ผู้ประกอบการได้นำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาทำงานแทนคนเพื่อเป็นการลดต้นทุนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านจากยานยนต์ที่ใช้พลังงานน้ำมันไปเป็นพลังงานไฟฟ้า ในอนาคตข้างหน้าชะตากรรมของคนทำงานจึงยังคงจะเผชิญกับปัญหาการตกงานมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยสภาพปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น เพื่อให้นโยบายการจ้างงาน ระบบประกันสังคม กฎหมายแรงงานที่เกี่ยวข้อง เกิดการแก้ไขปรับปรุง สอดคล้องกับหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) รวมทั้งแผนระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าที่ประเทศไทยได้ลงนาม(MOU)ระหว่างผู้แทนกระทรวงแรงงาน ผู้แทนลูกจ้าง ผู้แทนนายจ้าง ผู้แทน ILO เนื่องในวันฉลองครบ 100 องค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) อันจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหา และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทำงานให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเนื่องใน“วันงานที่มีคุณค่า” (World Day for Decent Work) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.) และเครือข่ายแรงงาน จึงขอยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลเพื่อไปดำเนินการเร่งด่วน
นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรมว.แรงงาน กล่าวว่า จะนำข้อเรียกร้องต่างๆที่ยื่นไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมทั้งรัฐบาล โดยคระเลขานุการจะมีการศึกษารายละเอียดเพื่อการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมทั้งนี้ทางรัฐมนตรี และรัฐบาลมีความเป็นห่วงผู้ใช้แรงงานและต้องการที่จะทำงานให้สอดคล้องกันนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และต้องการที่จะแก้ไขปัยหาอย่างแท้จริง โดยจะเร่งตั้งคระทำงานตามที่มีการเสนอมาเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา
ทั้งนี้ในวันเดียวกันได้มีกลุ่ม ขอคืนไม่ใช่ขอทานมาร่วมเดินรณรงค์ รวมทั้งเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน ได้มายื่นหนังสือ 3 ฉบับต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ต่อเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม และคณะกรรมการประกันสังคม เพื่อให้มีการตรวจสอบการลงทุน และการบริหารงานของประกันสังคม รวมถึงการปฏิรูปสำนักงานประกันสังคมอีกด้วย
นักสื่อสารแรงงาน รายงาน