
วันที่ 25 เมษายน 2566 สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) เครือข่ายไฟฟ้า ประปา และยาเพื่อชาติเพื่อชาติและประชาชน (คฟปย.) ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-MOVE) เครือข่ายสลัมสี่ภาค และคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ได้ยื่นหนังสือต่อรัฐบาล ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้ “แก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าราคาแพง ยกเลิก “สัญญาทาสให้เอกชนผูกขาดผลิตไฟฟ้า” โดยหนังสือระบุดังนี้
ในท่ามกลางความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอันเป็นผลมาจากปัญหาเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ อัตราเงินเฟ้อสูง ราคาสินค้ามีราคาแพง ในขณะที่ค่าจ้าง รายได้ของประชาชน คนทำงานไม่มีการปรับเพิ่ม เกษตรกรราคาผลผลิตตกต่ำซ้ำร้ายต้องเผชิญกับปัญหาภัยแล้ง หนี้สินเพิ่มพูน ทั้งหนี้สินบุคคล และหนี้สินครัวเรือนที่สูงขึ้นถึงเกือบ ร้อยละ ๙๐ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ การดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยความยากลำบาก แทนที่รัฐบาลจะแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ด้วยการลดรายจ่ายของประชาชนลง แต่รัฐบาลกลับซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายมากยิ่งขึ้น ด้วยการประกาศขึ้นราคาค่าไฟฟ้าค่าเอฟที งวด เดือนมกราคม-เมษายน 2566 สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยอยู่ในระดับ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย หรือเฉลี่ยรวมที่อัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น (ได้แก่ประเภทธุรกิจ อุตสาหกรรม บริการ) อยู่ที่ 154.92 สตางค์ต่อหน่วย หรือเฉลี่ยที่ 5.33 บาทต่อหน่วย ขณะที่ค่าไฟฟ้าในงวดใหม่ เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 จะคิดในอัตราเดียว

ในอัตรา 4.77 บาทต่อหน่วย ก็จะยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างแสนสาหัส
ข้อมูลในเชิงประจักษ์ชัดจากนักวิชาการด้านพลังงานยืนยันชัดเจนว่า เหตุที่ไฟฟ้าราคาที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่องและต่อไปเหตุเพราะรัฐบาลได้ไปทำสัญญาซื้อขายกับบริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชนระยะยาว เป็นเวลาถึง 25ปี และมีการประกันรายได้และกำไรแม้ว่าในช่วงเวลาใดที่บริษัทเหล่านั้นไม่ผลิตไฟฟ้าก็ตาม และในปัจจุบันการใช้กระแสไฟฟ้าในประเทศทั้งหมด ประมาณ 30,000 เมกกะวัตต์ แต่ปริมาณการผลิตไฟฟ้าสูงถึงประมาณ 50,000 เมกกะวัตต์ซึ่งเท่ากับว่า ปริมาณไฟฟ้าสำรองมีอย่างเพียงพอ บริษัทผลิตไฟฟ้าก็ไม่ได้ผลิตไฟฟ้าส่งแก่รัฐ แต่รัฐต้องจ่ายเงินให้แก่กลุ่มทุนผลิตไฟฟ้าเอกชนทุกเดือนและค่าใช้จ่ายนี้ รัฐบาลสั่งการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเรียกเก็บจากประชาชนที่เรียกว่า “ค่าพร้อมจ่าย” นั่นคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาค่าไฟฟ้าแพงขึ้น แต่รัฐบาลไม่ได้พูดความจริงต่อประชาชน และไม่แก้ไขปัญหาโดยการยกเลิกสัญญาที่ไม่เป็นธรรมนี้

ซึ่งมองได้ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนเอกชน แต่ความเดือดร้อน ความทุกข์ยากประชาชนต้องแบกรับ และไม่เพียงแค่นั้น กลุ่มทุนพลังงาน กลุ่มทุนผลิตไฟฟ้าเอกชนก็พยายามรุกต่อ นอกเหนือจากการแทรกแซงการผลิตไฟฟ้าของรัฐ คือ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยลดกำลังการผลิตลง เหลือเพียงร้อยละ 30 ของกำลังการผลิตทั้งหมดแล้วให้ กฟผ. ไปรับซื้อกระแสไฟฟ้าจากกลุ่มทุนเอกชนในราคาที่แพง เมื่อเอกชนยึดการผลิตไฟฟ้าได้แล้วก็กำลังรุกต่อด้วยการเข้ายึดครองเพื่อควบคุมระบบสายส่ง และระบบควบคุมไฟฟ้า โดยเสนอต่อหน่วยงานของรัฐที่กำกับดูแลเรื่องกิจการพลังงานว่าให้เป็นองค์กรอิสระ เพราะเกิดความคล่องตัว แล้วประชาชนจะได้ประโยชน์ แท้จริงแล้ว คือ ขบวนการยึดครองกิจการผลิตไฟฟ้าทั้งระบบ แปลงสภาพจากกิจการของรัฐให้เป็นของกลุ่มทุนเอกชนเต็มรูปแบบ ซึ่งหากสามารถยึดระบบการผลิต ระบบสายส่ง และระบบควบคุมไฟฟ้าได้แล้ว นั่นก็หมายความว่าชีวิต ชะตากรรมของประชาชนก็จะตกอยู่ในมือของกลุ่มทุนเอกชนซึ่งเป้าหมายสูงสุด ก็คือ กำไร ซึ่งการที่ไฟฟ้าราคาแพงมิใช่เพียงแค่ประชาชนแต่หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ สถานประกอบการรายย่อย รายใหญ่ โรงพยาบาล โรงเรียน ศาสนสถาน การเผาศพ และอื่น ๆ ก็จะเดือดร้อนไปด้วย แต่ทั้งหมดราคาค่าไฟฟ้า
ที่เพิ่มขึ้นคนที่แบกรับภาระทุกภาระ ก็คือ “ประชาชน”

สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และเครือข่ายภาคประชาชนไม่อาจทนอยู่กับสภาพการถูกขูดรีดจากกลุ่มทุนพลังงาน กลุ่มทุนไฟฟ้าภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลทั้งก่อนหน้านี้และรัฐบาลปัจจุบันได้อีกต่อไป โดยอาจอ้างว่ารัฐบาลชุดก่อนทำไว้ แล้วมาถึงรัฐบาลนี้แล้วปล่อยไป โดยไม่มีการแก้ไข เหตุผลเหล่านั้นไม่อาจรับฟังได้ เพราะหน้าที่รัฐบาล คือ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน จึงขอเสนอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา ดังต่อไปนี้

1. ให้รัฐบาลหามาตรการ วิธีการลดราคาค่าไฟฟ้าอย่างสมเหตุ สมผล เป็นธรรมแก่ประชาชนทันที โดยไม่มีเงื่อนไข
2. ให้รัฐบาลเจรจายกเลิกสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าจากกลุ่มทุนพลังงาน ไฟฟ้า เอกชนที่ทำให้รัฐเสียเปรียบ ประชาชนเสียหายที่เรียกว่า “สัญญาทาส” โดยเร่งด่วนและให้ตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการเจรจา ให้ข้อมูล และตัดสินใจ
3. สนับสนุน ส่งเสริมทั้งความรู้ ข้อมูล ผลิตภัณฑ์ งบประมาณให้หน่วยงานของรัฐ ประชาชน
ใช้พลังงานทางเลือก พลังงานสะอาด ลดภาวะโลกร้อน หากประชาชนผลิตได้ใช้ไม่หมด ให้รัฐรับซื้อในราคาที่เป็นธรรม
4. เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ รัฐบาลต้องสนับสนุนส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐผลิตไฟฟ้าไม่น้อยกว่า ร้อยละ 70 ของกำลังการผลิตทั้งหมด
5. ขอให้ยกเลิกนโยบายการแปรรูประบบสายส่ง และ ระบบควบคุมไฟฟ้าของการไฟฟ้าผลิตแห่งประเทศไทย และสร้างโครงข่ายเชื่อมร้อยกับการผลิตไฟฟ้าของประชาชน

เครือข่ายภาคประชาชนจึงขอให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วนและจริงใจในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน คนทำงานหาเช้ากินค่ำ และกระบวนการแก้ไขปัญหาขอให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณา ตัดสินใจ เพราะค่าไฟฟ้า พลังงานที่สูงขึ้นกระทบต่อประชาชนทุกคน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อเสนอ
ที่เป็นประโยชน์นี้จะได้รับการพิจารณา