รู้ทันสื่อ ส่งเสริมประชาธิปไตย

 

เมื่อวันพุธที่ 22 มิถุนายน 2554  ที่ห้องรัชวิภา  โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค  กรุงเทพฯ  มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ร่วมกับ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ ไทยพีบีเอส (Thai PBS)  จัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การรู้เท่าทันสื่อ : การส่งเสริมประชาธิปไตย”   ผู้เข้าร่วมประกอบด้วยนักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์  รัฐศาสตร์  นิติศาสตร์  ตัวแทนองค์กรสื่อ  ตัวแทนจากภาคประชาสังคม  ผู้ผลิตรายการและเจ้าหน้าที่สถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส  รวมทั้งสิ้นกว่า 60 คน 
นายเทพชัย หย่อง  ผู้อำนวยการไทยพีบีเอส กล่าวว่า  ถือเป็นจังหวะเหมาะที่จะพูดคุยกันเรื่องสื่อกับประชาธิปไตยเพราะกำลังอยู่ในช่วงการเลือกตั้งใหญ่  บทบาทของสื่อควรจะอยู่ตรงไหนบนความขัดแย้งของสังคมขณะที่สื่อได้รับความเชื่อถือลดลง  จึงควรมีการตรวจสอบโดยสังคมเพื่อให้สื่อมีส่วนในการส่งเสริมประชาธิปไตยมากขึ้น โดยเห็นว่าสื่อออนไลน์ในต่างประเทศมีบทบาทมากในการกล้าตั้งคำถามตรวจสอบสื่อ  แต่ในประเทศไทยถูกกดไว้   ซึ่งปัจจุบัน “สื่อใหม่” จะเป็นตัวคานอำนาจ “สื่อเก่า”ได้
นายมาร์ค ศักซาร์  ผู้อำนวยการมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท  กล่าวถึงชนชั้นกลางในประเทศไทยว่า  เป็นคนกลุ่มใหญ่ในสังคมที่สนใจในการรับส่งข่าวสาร แต่กลับไม่ค่อยสนใจในประเด็นสาธารณะ การรู้เท่าทันสื่อจึงเป็นการที่ทำอย่างไรให้พลเมืองอ่านสื่อออก ว่านำเสนออะไร มีส่วนในการส่งเสริมประชาธิปไตยหรือไม่
ช่วงต่อมาเป็นการอภิปราย “การรู้เท่าทันสื่อและการส่งเสริมประชาธิปไตย” มีนายอโณทัย อุดมศิลป  ผู้อำนวยการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ ไทยพีบีเอส  เป็นผู้ดำเนินรายการ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ พิรงรอง รามสูต คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า  ในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยมีความหลากหลายของสื่อทั้งปริมาณและประเภททำให้มีคุณภาพที่แตกต่างกัน  อำนาจของสื่ออยู่ที่สื่อเป็นตัวสร้างมโนภาพให้ผู้รับเกิดมโนทัศน์ การแยกแยะจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้เห็นแก่นแกนที่แท้จริง เพราะสื่อคืออาหารปัญญา มีทั้งโทษและประโยชน์  สำหรับประชาชนแล้ว สื่อใหม่เอื้อให้เป็นทั้งผู้รับสารและผู้ใช่สื่อเพื่อส่งสาร  การรู้เท่าทันสื่อจึงต้องมีทั้งการต้องอ่านสื่อออก ซึ่งจะสามารถวิเคราะห์แยกแยะวาทกรรมต่างๆได้  และต้องเขียนสื่อได้  คือสามารถทำสื่อได้อย่างมีคุณภาพ  โดยเริ่มจากคนๆเดียวตั้งคำถาม แล้วจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์  ไปจนถึงการตั้งองค์กรตรวจสอบ
รองศาสตราจารย์ สิริพรรณ นกสวน สวัสดี  คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ มองว่า  ภูมิทัศน์ของสื่อกำลังเปลี่ยนไปจากการที่มีสื่อใหม่ ซึ่งเป็นผลจากการมีคอมพิวเตอร์ มีโทรศัพท์มือถือ ทำให้มีการไหลของข่าวสารที่หลากหลายผ่านช่องทางที่มากขึ้น ส่งผลต่อวัฒนธรรมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่เปลี่ยนไป  เป็นผู้รับสารที่เลือกได้ด้วยตัวเอง  ความเสมอภาคเท่าเทียมด้านมุมมองและทัศนคติในเรื่องประชาธิปไตยหรือเรื่องอื่นๆ เช่น อาจารย์กับลูกศิษย์เท่ากันใน Facebook แต่ก็ต้องตระหนักว่า สังคมออนไลน์ เป็นพื้นที่สาธารณะ ไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวที่จะระบายอะไรก็ได้
และเห็นว่าสื่อไทยยังขาดประสิทธิภาพเพราะชอบลอกการบ้าน ไม่ทำการบ้าน ชอบยืมปากนักวิชาการพูดโดยไม่วิเคราะห์เอง ไม่ทำข่าวเจาะลึก นำเสนอเนื้อหาที่ขายได้ แทนการตรวจสอบนำเสนอข้อเท็จจริง และที่อันตรายที่สุดคือการเซ็นเซอร์ตัวเอง  การจะนำเสนอเรื่องอะไรหรือรายการอะไร สื่อจึงควรต้องพิจารณาว่าจะนำสังคมไปสู่ทิศทางใด  สำหรับสื่อของรัฐ ในประเทศประชาธิปไตยจะไม่ถูกนำไปใช้เพื่อประชาสัมพันธ์รัฐบาล เพราะถือเป็นการนำเงินประชาชนไปใช้โฆษณาตัวเอง ฉะนั้นกล่าวได้ว่า ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจะไม่มีสื่อที่ไร้ประสิทธิภาพ
รองศาสตราจารย์ สมชาย ปรีชาศิลปะกุล  คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ให้ความเห็นว่า  ความหมายของสื่อแบบดั่งเดิมกำลังเปลี่ยนไปจากการที่มีสื่อใหม่เกิดขึ้น  เพราะไม่ผูกติดกับอำนาจรัฐและตลาด ต้นทุนต่ำ ผู้ผลิตสื่อคือสามัญชน ประเด็นก็มีตั้งแต่เรื่องชาวบ้านไปถึงการเมือง จะพูดเสนออะไรก็ได้  และยากจะแยกแยะว่าสื่อใดเป็นสื่อแท้หรือสื่อเทียม  ส่วนสถานการณ์สื่อในปี 2011 เห็นว่าสื่อไทยเป็นสื่อไม่เสรี จากกฎหมายคอมพิวเตอร์  กฎหมายอาญามาตรา 112  จากเหตุรุ่นแรงทางการเมือง  ซึ่งสื่อใหญ่น่าเป็นห่วงมากเพราะมีทั้งข้อเท็จจริง(Fact) และ ความเห็น(Opinion) ภายใต้สังกัดอุดมการณ์ที่แฝงอยู่เพื่อขาย  สื่อไทยมีปัญหาทั้งจากผู้ผลิตและผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมอ่านแต่สิ่งที่เชื่อ อ่านแต่สิ่งที่คิดว่าเป็นความจริง  ทางออกจึงต้องสร้างวัฒนธรรมแมลงวันตอมแมลงวัน(สื่อวิจารณ์สื่อ)ให้มากขึ้น  ปรับการใช้กฎหมายกับสื่อไม่ให้มีหลายมาตรฐาน  ต้องมีขันติธรรม มีความอดทนอดกลั้น และต้องมีหลักประกันในการแลกเปลี่ยนสื่อสาร
นายเสด็จ บุนนาค  อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย  กล่าวถึงสื่อว่ามีความพยายามควบคุมกันเองโดยใช้จริยธรรมของสื่อมากกว่ายอมให้กฎหมายเข้ามาควบคุม  และตั้งข้อสังเกตว่านั่นทำให้สื่อมีอิสระค่อนข้างมากจนขาดความรับผิดชอบต่อสังคมหรือไม่
นายวิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์  นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย  ให้ความเห็นว่าคนทำสื่อสับสนกับประชาธิปไตยในยุคนี้  การรู้เท่าทันสื่อจึงเป็นเรื่องยากเมื่อผู้รับสารเองก็สับสนพอกัน  ความต้องการอยู่รอดของสื่อทำให้มีการละเลยประเด็นที่ควรจะสื่อ  ในขณะที่สื่อต้องปรับตัวภายใต้ความคาดหวังของสังคม  ผู้บริโภคก็ควรต้องเปิดกว้างรับข่าวสารจากสื่อหลายแห่ง
 
 
 
การสานเสวนาแบบร้านกาแฟ (World Cafe) ในช่วงบ่ายใช้หัวข้อ “ข้อเสนอแนะสำหรับบทบาทของพลเมืองต่อการส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อเพื่อการพัฒนาประชาธิปไตย”  โดยใช้แนวทาง “การฟังด้วยใจ”  ซึ่งมีหลักว่า  ฟังด้วยความเมตตา  เอาใจเขามาใส่ใจเรา และ ฟังให้สุดความ โดยไม่ตัดสินถูกผิด  ผลจากวงสานเสวนา  มีความเห็นว่า ความรู้และการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการรู้เท่าทันสื่อเพราะจะทำให้เกิดความสามารถในการแยกแยะ ซึ่งควรมีการให้ความรู้ตั้งแต่เป็นเด็กและเยาวชน โดยภาคีต่างๆเช่นภาครัฐ นักวิชาการ สื่อมวลชน ภาคประชาสังคม ต้องมีส่วนร่วมในภารกิจส่งเสริม คัดกรอง ขับเคลื่อน และกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้เท่าทันเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ  ซึ่ง ไทยพีบีเอส ในฐานะของทีวีสาธารณะภายใต้สโลแกน “ทีวีที่คุณวางใจ”  ได้รับความคาดหวังอย่างมากต่อการมีบทบาทในการสื่อสารเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และเท่าทันสื่อเพื่อส่งเสริมการพัฒนาประชาธิปไตย