พระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓

 

พระราชบัญญัติ

ประกันสังคม

พ.ศ.  ๒๕๓๓ 

ภูมิพลอดุลยเดช  ป.ร.

ให้ไว้  ณ  วันที่  ๑๑  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๓๓

เป็นปีที่  ๔๕  ในรัชกาลปัจจุบัน

                พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ  ให้ประกาศว่า

                โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม

                จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา  ดังต่อไปนี้

                มาตรา  ๑  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า  “พระราชบัญญัติประกันสังคม  พ.ศ.  ๒๕๓๓”

* พระราชบัญญัติประกันสังคม  พ.ศ.  ๒๕๓๓  ประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับกฤษฎีกา  เล่ม  ๑๐๗  ตอนที่  ๑๖๑  ลงวันที่  ๑  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๓๓  มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่  ๒  กันยายน  ๒๕๓๓  ได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒) พ.ศ.  ๒๕๓๗  ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา  ฉบับกฤษฎีกา  เล่ม  ๑๑๑  ตอนที่  ๖๓  ก  ลงวันที่  ๓๐  ธันวาคม  ๒๕๓๗  และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่  ๓๐  มีนาคม  ๒๕๓๘  เป็นต้นไป  และพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่ ๓)  พ.ศ.  ๒๕๔๒  ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา  ฉบับกฤษฎีกา เล่ม  ๑๑๖  ตอนที่  ๒๒ ก  ลงวันที่  ๓๑  มีนาคม  ๒๕๔๒  และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่  ๑  เมษายน  ๒๕๔๒    เป็นต้นไป

                มาตรา  ๒  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป  เว้นแต่บทบัญญัติหมวด  ๒  ของลักษณะ  ๒  ให้ใช้บังคับ  เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวัน  นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  และบทบัญญัติมาตรา  ๔๐  ให้ใช้บังคับภายในสี่ปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

                มาตรา  ๓  ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติประกันสังคม  พ.ศ.  ๒๔๙๗ 

                บรรดากฎหมาย  กฎ  และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้  หรือซึ่งขัดแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้  ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

                มาตรา  ๔  พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่

                (๑)  ข้าราชการ  ลูกจ้างประจำ  ลูกจ้างชั่วคราวรายวัน  และลูกจ้างชั่วคราวรายชั่วโมงของราชการส่วนกลาง  ราชการส่วนภูมิภาค  และราชการส่วนท้องถิ่น  ยกเว้นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน(๑)

(๒)  ลูกจ้างของรัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ

                (๓)  ลูกจ้างของนายจ้างที่มีสำนักงานในประเทศ  และไปประจำทำงานในต่างประเทศ

                (๔)  ครูหรือครูใหญ่ของโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน

                (๕)  นักเรียน  นักเรียนพยาบาล  นิสิตหรือนักศึกษาหรือแพทย์ฝึกหัดซึ่งเป็นลูกจ้างของโรงเรียน  มหาวิทยาลัย  หรือโรงพยาบาล

                (๖)  กิจการหรือลูกจ้างอื่นตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

                มาตรา  ๕  ในพระราชบัญญัตินี้

                “ลูกจ้าง”  หมายความว่า  ผู้ซึ่งทำงานให้นายจ้าง  โดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร  แต่ไม่รวมถึงลูกจ้าง  ซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้านอันมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย

                “นายจ้าง”  หมายความว่า  ผู้ซึ่งรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้าง  และให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนนายจ้าง  ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคล              ให้หมายความรวมถึงผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล  และผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลให้ทำการแทนด้วย

                “ค่าจ้าง”  หมายความว่า  เงินทุกประเภทที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ  ไม่ว่าจะคำนวณตามระยะเวลาหรือคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้  และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้ในวันหยุดและวันลาซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย  ทั้งนี้  ไม่ว่าจะกำหนด  คำนวณ  หรือจ่ายในลักษณะใดหรือ              โดยวิธีการใด  และไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร

                “วันทำงาน”  หมายความว่า  วันที่กำหนดให้ลูกจ้างทำงานตามปกติ

                “ผู้ประกันตน”  หมายความว่า  ผู้ซึ่งจ่ายเงินสมทบอันก่อให้เกิดสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนตามพระราชบัญญัตินี้

                “การคลอดบุตร”  หมายความว่า  การที่ทารกออกจากครรภ์มารดา  ซึ่งมีระยะเวลาตั้งครรภ์ไม่น้อยกว่ายี่สิบแปดสัปดาห์ไม่ว่าทารกจะมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่

                “ทุพพลภาพ”  หมายความว่า  การสูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะหรือของร่างกาย  หรือสูญเสียสภาวะปกติของจิตใจ  จนไม่สามารถทำงานได้  ทั้งนี้                ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนด

                “ว่างงาน”  หมายความว่า  การที่ผู้ประกันตนต้องหยุดงานเนื่องจากนิติสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานสิ้นสุดลง

                “กองทุน”  หมายความว่า  กองทุนประกันสังคม

                “สำนักงาน”  หมายความว่า  สำนักงานประกันสังคม

                “คณะกรรมการ”  หมายความว่า  คณะกรรมการประกันสังคม

                “กรรมการ”  หมายความว่า  กรรมการประกันสังคม

                “พนักงานเจ้าหน้าที่”  หมายความว่า  ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

                “เลขาธิการ”  หมายความว่า  เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม

                “รัฐมนตรี”  หมายความว่า  รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

                มาตรา  ๖  ในการคำนวณค่าจ้างเพื่อการออกเงินสมทบให้ถือเอาค่าจ้างที่คิดเป็นรายเดือนเป็นเกณฑ์คำนวณ

                ในการคำนวณค่าจ้างที่มิใช่ค่าจ้างรายเดือนให้เป็นค่าจ้างรายเดือนให้ถือว่าค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับจริงในเดือนใดเป็นค่าจ้างรายเดือนของเดือนนั้น

                เพื่อประโยชน์ในการนับระยะเวลาการส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนให้ถือว่าเงินสมทบที่หักจากค่าจ้างที่จ่ายให้ลูกจ้างในเดือนใดเป็นการจ่ายเงินสมทบของเดือนนั้นและ ไม่ว่าเงินสมทบนั้นจะได้หักไว้หรือนำส่งเดือนละกี่ครั้ง  ให้ถือว่ามีระยะเวลาในการจ่ายเงินสมทบเท่ากับหนึ่งเดือน (๒)

                มาตรา  ๗  ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้  ยกเว้นค่าธรรมเนียมและกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

กฎกระทรวงนั้น  เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

ลักษณะ  ๑

บททั่วไป

หมวด  ๑

คณะกรรมการประกันสังคม

 

มาตรา  ๘  ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า  “คณะกรรมการประกันสังคม”  ประกอบด้วยปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม  เป็นประธานกรรมการ  ผู้แทนกระทรวงการคลัง  ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข  และผู้แทนสำนักงบประมาณ  เป็นกรรมการกับผู้แทนฝ่ายนายจ้าง  และผู้แทนฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละห้าคน  ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการและเลขาธิการเป็นกรรมการและเลขานุการ(๓)

คณะกรรมการจะแต่งตั้งบุคคลใดเป็นผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการก็ได้

                รัฐมนตรีจะแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินห้าคนให้เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการก็ได้  ซึ่งในจำนวนนี้อย่างน้อยต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางระบบงานประกันสังคม  ผู้ทรงคุณวุฒิทางการแรงงาน  ผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์  ผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมาย  และผู้ทรงคุณวุฒิอื่น

                มาตรา  ๙  คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่  ดังต่อไปนี้

                (๑)  เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการในการประกันสังคมตามพระราชบัญญัตินี้

                (๒)  พิจารณาให้ความเห็นต่อรัฐมนตรีในการตราพระราชกฤษฎีกา  การออกกฎกระทรวง  และระเบียบต่างๆ  เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้

                (๓)  วางระเบียบโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการรับเงิน  การจ่ายเงินและการเก็บรักษาเงินของกองทุน

                (๔)  วางระเบียบโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการจัดหาผลประโยชน์ของกองทุน

                (๕)  พิจารณางบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินของกองทุน  และรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีของสำนักงานในส่วนที่เกี่ยวกับการประกันสังคมตามพระราชบัญญัตินี้

                (๖)  ให้คำปรึกษาและแนะนำแก่คณะกรรมการอื่นหรือสำนักงาน

                (๗)  ปฏิบัติการอื่นใดตามที่พระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ

หรือตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย

                ในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง  คณะกรรมการอาจมอบหมายให้สำนักงานเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการต่อไปก็ได้

                มาตรา  ๑๐  กรรมการหรือที่ปรึกษาซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี

                กรรมการหรือที่ปรึกษาซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้แต่จะแต่งตั้งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้

                มาตรา  ๑๑  นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา  ๑๐  กรรมการหรือที่ปรึกษา  ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง  เมื่อ

                (๑)  ตาย

                (๒)  ลาออก

                (๓)  รัฐมนตรีให้ออก

                (๔)  เป็นบุคคลล้มละลาย

                (๕)  วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

                (๖)  ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก  เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

                ในกรณีที่กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ  ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลในประเภทเดียวกันตามมาตรา  ๘  เป็นกรรมการแทน  และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน

                ในกรณีที่รัฐมนตรีแต่งตั้งที่ปรึกษาเพิ่มขึ้นในระหว่างที่ที่ปรึกษาซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง  ให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาเพิ่มขึ้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของที่ปรึกษาที่ได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว

                มาตรา  ๑๒  ในกรณีที่กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งดำรงตำแหน่งครบตามวาระแล้ว  แต่ยังมิได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่  ให้กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนจนกว่ากรรมการที่ได้รับแต่งตั้งใหม่จะเข้ารับหน้าที่

                มาตรา  ๑๓  การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด  จึงเป็นองค์ประชุม

                ในการประชุมคราวใด  ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม  หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม

                มติในที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก  กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน  ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน  ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียง          ชี้ขาด

                มาตรา  ๑๔  ให้มีคณะกรรมการการแพทย์คณะหนึ่ง  ประกอบด้วยประธานกรรมการและกรรมการอื่น  มีจำนวนรวมกันไม่เกินสิบหกคน  ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง  และผู้แทนสำนักงานเป็นกรรมการและเลขานุการ

                ประธานกรรมการและกรรมการอื่นตามวรรคหนึ่ง  ให้แต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิในวิชาชีพเวชกรรมสาขาต่างๆ  และให้อยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี

                ให้นำมาตรา  ๑๐  วรรคสอง  มาตรา  ๑๑  มาตรา  ๑๒  และมาตรา  ๑๓  มาใช้บังคับโดยอนุโลม(๔)

                มาตรา  ๑๕  คณะกรรมการการแพทย์มีอำนาจหน้าที่  ดังต่อไปนี้

                (๑)   เสนอความเห็นต่อคณะกรรมการเกี่ยวกับการดำเนินงานในการให้บริการทางการแพทย์

                (๒)  กำหนดหลักเกณฑ์และอัตราสำหรับประโยชน์ทดแทนในการรับบริการทางการแพทย์ของผู้ประกันตนตามมาตรา  ๕๙  มาตรา  ๖๓  มาตรา  ๖๖  มาตรา  ๖๘  มาตรา  ๗๐  และมาตรา  ๗๒

                (๓)   เสนอความเห็นต่อคณะกรรมการเกี่ยวกับการออกกฎกระทรวงตามมาตรา  ๖๔

                (๔)  ให้คำปรึกษาและแนะนำในทางการแพทย์แก่คณะกรรมการ  คณะกรรมการอุทธรณ์และสำนักงาน

                (๕)  ปฏิบัติการอื่นตามที่พระราชบัญญัตินี้บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการแพทย์  หรือตามที่รัฐมนตรีหรือคณะกรรมการมอบหมาย

                มาตรา  ๑๖  คณะกรรมการหรือคณะกรรมการการแพทย์จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการ  หรือคณะกรรมการการแพทย์มอบหมายก็ได้

                การประชุมของคณะอนุกรรมการให้นำมาตรา  ๑๓  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

                มาตรา  ๑๗  คณะกรรมการ  คณะกรรมการการแพทย์  และคณะอนุกรรมการมีอำนาจสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งส่งเอกสาร  หรือข้อมูลที่จำเป็นมาพิจารณาได้  ในการนี้จะสั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงด้วยก็ได้

                มาตรา  ๑๘  กรรมการ  ที่ปรึกษา  กรรมการการแพทย์  กรรมการอุทธรณ์  และอนุกรรมการ  อาจได้รับเบี้ยประชุม  ค่าพาหนะ  ค่าเบี้ยเลี้ยง  ค่าเช่าที่พัก  และค่าใช้จ่ายอย่างอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

หมวด  ๒

สำนักงานประกันสังคม

 

                มาตรา  ๑๙  ให้จัดตั้งสำนักงานประกันสังคมขึ้นในกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

                (๑)  ปฏิบัติงานธุรการของคณะกรรมการ  คณะกรรมการอื่น  และคณะอนุกรรมการตามพระราชบัญญัตินี้

                (๒)  เก็บ  รวบรวม  และวิเคราะห์  ข้อมูลเกี่ยวกับการประกันสังคม

                (๓)  จัดทำทะเบียนนายจ้างและผู้ประกันตนซึ่งต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุน

                (๔)  ปฏิบัติการตามที่พระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน

                (๕)  กระทำกิจกรรมอย่างอื่นตามที่รัฐมนตรี  คณะกรรมการ  คณะกรรมการอื่นหรือคณะอนุกรรมการมอบหมาย

                มาตรา  ๒๐  ให้เลขาธิการมีหน้าที่ควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งราชการของสำนักงานและเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการในสำนักงาน  เพื่อการนี้ให้มีรองเลขาธิการคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติราชการ

                ให้เลขาธิการและรองเลขาธิการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ

 

หมวด  ๓

กองทุนประกันสังคม

 

                มาตรา  ๒๑  ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในสำนักงานประกันสังคม  เรียกว่า  กองทุนประกันสังคม  เพื่อเป็นทุนใช้จ่ายให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทดแทน  ตามที่บัญญัติไว้ในลักษณะ  ๓  และเป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรา  ๒๔  วรรคสอง

                มาตรา  ๒๒  กองทุนประกอบด้วย

                (๑)   เงินสมทบจากรัฐบาล  นายจ้าง  และผู้ประกันตนตามมาตรา  ๔๐  และมาตรา  ๔๖ 

                (๒)  เงินเพิ่มตามมาตรา  ๓๙  มาตรา  ๔๙  และมาตรา  ๕๓

                (๓)  ผลประโยชน์ของกองทุนตามมาตรา  ๒๖

                (๔)  เงินค่าธรรมเนียมตามมาตรา  ๔๕

                (๕)  เงินที่ได้รับจากการบริจาคหรือเงินอุดหนุน

                (๖)  เงินที่ตกเป็นของกองทุนตามมาตรา  ๔๗  มาตรา  ๔๗  ทวิ  มาตรา  ๕๐  มาตรา  ๕๓  และมาตรา  ๕๖

                (๗)  เงินอุดหนุนหรือเงินทดรองราชการที่รัฐบาลจ่ายตามมาตรา  ๒๔  วรรคสาม

                (๘)  เงินค่าปรับตามที่ได้จากการเปรียบเทียบตามมาตรา  ๑๐๒

                (๙)  รายได้อื่น  (๕)

                มาตรา  ๒๓  เงินกองทุนตามมาตรา  ๒๒  ให้เป็นของสำนักงานและไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน

                มาตรา  ๒๔  เงินกองทุนให้จ่ายเป็นประโยชน์ทดแทนตามพระราชบัญญัตินี้

                คณะกรรมการอาจจัดสรรเงินกองทุนไม่เกินร้อยละสิบของเงินสมทบของแต่ละปี  เพื่อจ่ายตามมาตรา  ๑๘  และเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของสำนักงาน

                ในกรณีที่เงินกองทุนไม่พอจ่ายตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง  ให้รัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุนหรือเงินทดรองราชการให้ตามความจำเป็น

                มาตรา  ๒๕  การรับเงิน  การจ่ายเงิน  และการเก็บรักษาเงินกองทุนให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

                มาตรา  ๒๖  การจัดหาผลประโยชน์ของกองทุนให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

                มาตรา  ๒๗  ภายในหกเดือนนับแต่วันสิ้นปีปฏิทิน  ให้คณะกรรมการเสนองบดุล  และรายงานการรับจ่ายเงินของกองทุนในปีที่ล่วงมาแล้วต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน  เพื่อตรวจสอบรับรองก่อนเสนอต่อรัฐมนตรี

                งบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินดังกล่าว  ให้รัฐมนตรีเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอรัฐสภาเพื่อทราบ  และจัดให้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา (๖)

 

หมวด  ๔

การสำรวจการประกันสังคม

 

                มาตรา  ๒๘  เพื่อประโยชน์แก่การประกันสังคมตามพระราชบัญญัตินี้  จะตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อสำรวจปัญหาและข้อมูลด้านแรงงานก็ได้

 

                ในพระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยให้ระบุ

                (๑)  วัตถุประสงค์ในการสำรวจ

                (๒)  เจ้าหน้าที่หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่จะทำการสำรวจ

                (๓)  กำหนดเวลาการใช้บังคับพระราชกฤษฎีกา  ซึ่งจะต้องไม่เกินสองปี

                มาตรา  ๒๙  เมื่อได้ตราพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา  ๒๘  แล้ว  ให้เลขาธิการประกาศกำหนด

                (๑)  แบบสำรวจ

                (๒)  ระยะเวลาที่เจ้าหน้าที่หรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะส่งแบบสำรวจให้แก่นายจ้าง

                (๓)  กำหนดเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวันให้นายจ้างต้องส่งคืนแบบสำรวจที่ได้กรอกรายการแล้วแก่เจ้าหน้าที่หรือพนักงานเจ้าหน้าที่  ซึ่งต้องระบุไว้ในแบบสำรวจด้วย

                การประกาศตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

                มาตรา  ๓๐  แบบสำรวจตามมาตรา  ๒๙(๑)  ที่จะต้องส่งไปยังนายจ้างให้ส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ  หรือให้เจ้าหน้าที่หรือพนักงานเจ้าหน้าที่นำไปส่ง  ณ  ภูมิลำเนา  หรือถิ่นที่อยู่หรือสำนักงานของนายจ้างในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก  หรือในเวลาทำการของนายจ้าง  ถ้าไม่พบนายจ้าง  ณ  ภูมิลำเนา  หรือถิ่นที่อยู่  หรือสำนักงานของนายจ้างจะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและอยู่หรือทำงานในบ้านหรือสำนักงานที่ปรากฏว่าเป็นของนายจ้างนั้นก็ได้

                ถ้าไม่สามารถส่งตามวิธีในวรรคหนึ่งได้  ให้ใช้วิธีปิดแบบสำรวจไว้ในที่ซึ่งเห็นได้ง่ายที่สำนักงานของนายจ้าง  เมื่อได้ดำเนินการดังกล่าวและเวลาได้ล่วงพ้นไปเกินสิบห้าวันแล้ว  ให้ถือว่านายจ้างได้รับแบบสำรวจนั้นแล้ว

                มาตรา  ๓๑  เมื่อนายจ้างได้รับแบบสำรวจแล้ว  ให้นายจ้างกรอกรายการในแบบสำรวจทุกข้อตามความเป็นจริง  แล้วส่งแบบสำรวจที่ได้กรอกรายการนั้นคืนให้เจ้าหน้าที่หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา  ๒๙(๓)

                มาตรา  ๓๒  บรรดาข้อความหรือตัวเลขที่ได้กรอกไว้ในแบบสำรวจให้ถือเป็นความลับ  ห้ามมิให้ผู้ซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้เปิดเผยข้อความหรือตัวเลขนั้นแก่บุคคลซึ่งไม่มีหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้  เว้นแต่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่การประกันสังคม  หรือการคุ้มครองแรงงาน  หรือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวน  หรือการพิจารณาคดี

ลักษณะ  ๒

การประกันสังคม

หมวด  ๑

การเป็นผู้ประกันตน

 

                มาตรา  ๓๓  ให้ลูกจ้างซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่าสิบห้าปีบริบูรณ์และไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์เป็นผู้ประกันตน

                ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนอยู่แล้วตามวรรคหนึ่งเมื่อมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์  และยังเป็นลูกจ้างของนายจ้างซึ่งอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้ถือว่าลูกจ้างนั้นเป็นผู้ประกันตนต่อไป(๗)

                มาตรา  ๓๔  ให้นายจ้างซึ่งมีลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา  ๓๓  ยื่นแบบรายการแสดงรายชื่อผู้ประกันตน  อัตราค่าจ้าง  และข้อความอื่นตามแบบที่เลขาธิการกำหนดต่อสำนักงานภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ลูกจ้างนั้นเป็นผู้ประกันตน

                มาตรา  ๓๕  ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการได้ว่าจ้างโดยวิธีเหมาค่าแรงมอบให้แก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดรับช่วงไปควบคุมดูแลการทำงานและรับผิดชอบจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างอีกทอดหนึ่งก็ดี  มอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใด  เป็นผู้จัดหาลูกจ้างมาทำงานอันมิใช่การประกอบธุรกิจจัดหางานก็ดีโดยการทำงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจ  ซึ่งกระทำในสถานประกอบกิจการหรือสถานที่ทำงานของผู้ประกอบกิจการและเครื่องมือที่สำคัญสำหรับใช้ทำงานนั้น  ผู้ประกอบกิจการเป็นผู้จัดหา  กรณีเช่นว่านี้ผู้ประกอบกิจการย่อมอยู่ในฐานะนายจ้างซึ่งมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้

                ในกรณีที่ผู้รับเหมาค่าแรงตามวรรคหนึ่ง  เป็นผู้ยื่นแบบรายการต่อสำนักงานตามมาตรา  ๓๔  ในฐานะนายจ้าง  ให้ผู้รับเหมาค่าแรงมีหน้าที่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้เช่นเดียวกับนายจ้าง  ในกรณีเช่นว่านี้  ให้ผู้ประกอบกิจการหลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้เงินสมทบและเงินเพิ่มเพียงเท่าที่ผู้รับเหมาค่าแรงได้นำส่งสำนักงาน(๘)

                มาตรา  ๓๖  เมื่อนายจ้างยื่นแบบรายการตามมาตรา  ๓๔  แล้วให้สำนักงานออกหนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนประกันสังคมให้แก่นายจ้าง  และออกบัตรประกันสังคมให้แก่ลูกจ้าง  ทั้งนี้  ตามแบบหลักเกณฑ์  และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

                มาตรา  ๓๗  ในกรณีที่ความปรากฏแก่สำนักงานหรือจากคำร้องของลูกจ้างว่านายจ้างไม่ยื่นแบบรายการตามมาตรา  ๓๔  หรือยื่นแบบรายการแล้ว  แต่ไม่มีชื่อลูกจ้างบางคนซึ่งเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา  ๓๓  ในแบบรายการนั้น  ให้สำนักงานมีอำนาจบันทึกรายละเอียดในแบบรายการตามมาตรา  ๓๔  โดยพิจารณาจากหลักฐานที่เกี่ยวข้อง  แล้วออกหนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนประกันสังคมให้แก่นายจ้าง  และหรือออกบัตรประกันสังคมให้แก่ลูกจ้างตามมาตรา  ๓๖ แล้วแต่กรณี

                ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง  เลขาธิการหรือผู้ซึ่งเลขาธิการมอบหมาย  จะดำเนินการสอบสวนก่อนก็ได้

                มาตรา  ๓๘  ความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา  ๓๓  สิ้นสุดลง  เมื่อผู้ประกันตนนั้น

                (๑)  ตาย

                (๒)  สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง

                ในกรณีที่ผู้ประกันตนที่สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างตาม  (๒)  ได้ส่งเงินสมทบครบตามเงื่อนเวลาที่จะก่อให้เกิดสิทธิตามบทบัญญัติในลักษณะ  ๓  แล้ว  ให้ผู้นั้นมีสิทธิตามบทบัญญัติในหมวด  ๒  หมวด  ๓  หมวด  ๔  และหมวด  ๕  ต่อไปอีกหกเดือนนับแต่วันที่สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง  หรือตามระยะเวลาที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา  ซึ่งต้องไม่เกินสิบสองเดือนนับแต่วันที่สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง(๙)

                มาตรา  ๓๙  ผู้ใดเคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา  ๓๓  โดยจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบสองเดือน  และต่อมาความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลงตามมาตรา  ๓๘(๒)  ถ้าผู้นั้นประสงค์จะเป็นผู้ประกันตนต่อไป  ให้แสดงความจำนงต่อสำนักงานตามระเบียบที่เลขาธิการกำหนด  ภายในหกเดือนนับแต่วันสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน

                จำนวนเงินที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบที่ผู้ประกันตนตามวรรคหนึ่งต้องส่งเข้ากองทุนตามมาตรา  ๔๖  วรรคสอง  ให้เป็นไปตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง  ทั้งนี้  โดยให้คำนึงถึงความเหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจในขณะนั้นด้วย

                ให้ผู้ประกันตนตามวรรคหนึ่งนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนเดือนละครั้งภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไป

                ผู้ประกันตนตามวรรคหนึ่งซึ่งไม่ส่งเงินสมทบ  หรือส่งไม่ครบจำนวนภายในเวลาที่กำหนดตามวรรคสาม  ต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสองต่อเดือนของจำนวนเงินสมทบที่ยังมิได้นำส่ง  หรือของจำนวนเงินสมทบที่ยังขาดอยู่นับแต่วันถัดจากวันที่ต้องนำส่งเงินสมทบ  สำหรับเศษของเดือนถ้าถึงสิบห้าวันหรือกว่านั้นให้นับเป็นหนึ่งเดือนถ้าน้อยกว่านั้นให้ปัดทิ้ง(๑๐)

                มาตรา  ๔๐  บุคคลอื่นใดซึ่งมิใช่ลูกจ้างตามมาตรา  ๓๓  จะสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัตินี้ก็ได้  โดยให้แสดงความจำนงต่อสำนักงาน

                หลักเกณฑ์  และอัตราการจ่ายเงินสมทบ  ประเภทของประโยชน์ทดแทนที่จะได้รับตามมาตรา  ๕๔  ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

                มาตรา  ๔๑  ความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา  ๓๙  สิ้นสุดลงเมื่อผู้ประกันตนนั้น

                (๑)  ตาย

                (๒)  ได้เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา  ๓๓  อีก

                (๓)  ลาออกจากความเป็นผู้ประกันตนโดยการแสดงความจำนงต่อสำนักงาน

                (๔)  ไม่ส่งเงินสมทบสามเดือนติดต่อกัน

                (๕)  ภายในระยะเวลาสิบสองเดือนส่งเงินสมทบมาแล้วไม่ครบเก้าเดือน

                การสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนตาม  (๔)  สิ้นสุดลงตั้งแต่เดือนแรกที่ไม่ส่งเงินสมทบ  และการสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนตาม  (๕)  สิ้นสุดลงในเดือนที่ส่งเงินสมทบไม่ครบเก้าเดือน(๑๑)

                ในกรณีที่ผู้ประกันตนที่สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนตาม  (๓)  (๔)  และ  (๕)  ได้ส่งเงินสมทบครบตามเงื่อนเวลาที่จะก่อให้เกิดสิทธิตามบทบัญญัติในลักษณะ  ๓  แล้ว              ให้ผู้นั้นมีสิทธิตามบทบัญญัติในหมวด  ๒  หมวด  ๓  หมวด ๔  และหมวด  ๕  ต่อไปอีกหกเดือนนับแต่วันที่สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน(๑๒)

                มาตรา  ๔๒  เพื่อก่อสิทธิแก่ผู้ประกันตนในการขอรับประโยชน์ทดแทนตามบัญญัติลักษณะ  ๓  ให้นับระยะเวลาประกันตนตามมาตรา  ๓๓  และหรือมาตรา  ๓๙  ทุกช่วงเข้าด้วยกัน

                มาตรา  ๔๓  กิจการใดที่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัตินี้  แม้ว่าภายหลังกิจการนั้นจะมีจำนวนลูกจ้างลดลงเหลือน้อยกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ก็ตาม  ให้กิจการดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัตินี้ต่อไปจนกว่าจะเลิกกิจการ  และให้ลูกจ้างที่เหลืออยู่เป็นผู้ประกันตนต่อไป  ในกรณีที่กิจการนั้นได้รับลูกจ้างใหม่เข้าทำงานให้ลูกจ้างใหม่นั้นเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย  แม้ว่าจำนวนลูกจ้างรวมทั้งสิ้นจะไม่ถึงจำนวนที่กำหนดไว้ก็ตาม

                มาตรา  ๔๔  ในกรณีที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อความในแบบรายการที่ได้ยื่นไว้ต่อสำนักงานเปลี่ยนแปลงไป  ให้นายจ้างแจ้งเป็นหนังสือต่อสำนักงานตามระเบียบที่เลขาธิการกำหนด  เพื่อขอเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดจากเดือนที่มีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

                ให้นำความในมาตรา  ๓๗  มาใช้บังคับแก่กรณีที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามมาตรานี้โดยอนุโลม(๑๓)

                มาตรา  ๔๕  ในกรณีที่หนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนประกันสังคมหรือบัตรประกันสังคมสูญหาย  ถูกทำลาย  หรือชำรุดในสาระสำคัญ  ให้นายจ้าง  หรือผู้ประกันตนยื่นคำขอรับใบแทนหนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนประกันสังคม  หรือใบแทนบัตรประกันสังคมแล้วแต่กรณีต่อสำนักงานภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ทราบถึงการสูญหาย  ถูกทำลายหรือชำรุดดังกล่าว  ทั้งนี้  ตามระเบียบที่เลขาธิการกำหนด

 

หมวด  ๒

เงินสมทบ

 

                มาตรา  ๔๖  ให้รัฐบาล  นายจ้าง  และผู้ประกันตนตามมาตรา  ๓๓  ออกเงินสมทบเข้ากองทุนเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย  กรณีทุพพลภาพ  กรณีตาย  และกรณีคลอดบุตร  ฝ่ายละเท่ากันตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง  แต่ต้องไม่เกินอัตราเงินสมทบท้ายพระราชบัญญัตินี้

                ให้รัฐบาล  นายจ้าง  และผู้ประกันตนตามมาตรา  ๓๓  ออกเงินสมทบเข้ากองทุนเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร  กรณีชราภาพ  และกรณีว่างงานตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง  แต่ต้องไม่เกินอัตราเงินสมทบท้ายพระราชบัญญัตินี้

                สำหรับการประกันตนตามมาตรา  ๓๙  ให้รัฐบาลและผู้ประกันตนออกเงินสมทบเข้ากองทุนโดยรัฐบาลออกหนึ่งเท่า  และผู้ประกันตนออกสองเท่าของอัตราเงินสมทบที่แต่ละฝ่ายต้องออกตามที่กำหนดในวรรคหนึ่งและวรรคสอง

                การกำหนดอัตราเงินสมทบตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง  ให้กำหนดโดยคำนึงถึงประโยชน์ทดแทนและค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของสำนักงานตามมาตรา  ๒๔

                ค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา  ๓๓  แต่ละคน  ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง  ในการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนแต่ละคนสำหรับเศษของเงินสมทบที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าสิบสตางค์ขึ้นไปให้นับเป็นหนึ่งบาทถ้าน้อยกว่านั้นให้ปัดทิ้ง  ในกรณีที่ผู้ประกันตนทำงานกับนายจ้างหลายรายให้คำนวณเงินสมทบจากค่าจ้างที่ได้รับจากนายจ้างแต่ละราย(๑๔)

                มาตรา  ๔๗  ทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้างให้นายจ้างหักค่าจ้างของผู้ประกันตนตามจำนวนที่จะต้องนำส่งเป็นเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนตามมาตรา  ๔๖  และเมื่อนายจ้างได้ดำเนินการดังกล่าวแล้วให้ถือว่าผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบแล้วตั้งแต่วันที่นายจ้างหักค่าจ้าง

                ให้นายจ้างนำเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนที่ได้หักไว้ตามวรรคหนึ่ง  และเงินสมทบในส่วนของนายจ้างส่งให้แก่สำนักงานภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้พร้อมทั้งยื่นรายการแสดงการส่งเงินสมทบตามแบบที่เลขาธิการกำหนด

                ถ้านายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างตามกำหนดเวลาที่ต้องจ่าย  ให้นายจ้างมีหน้าที่นำส่งเงินสมทบตามที่บัญญัติไว้ในวรรคสอง  โดยถือเสมือนว่ามีการจ่ายค่าจ้างแล้ว

                ในกรณีที่นายจ้างนำเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตน  หรือเงินสมทบในส่วนของนายจ้างส่งให้แก่สำนักงานเกินจำนวนที่ต้องชำระ  ให้นายจ้างหรือผู้ประกันตนยื่น               คำร้องขอรับเงินในส่วนที่เกินคืนได้ตามระเบียบที่เลขาธิการกำหนด  ถ้านายจ้างหรือผู้ประกันตนมิได้เรียกเอาเงินดังกล่าวคืนภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่นำส่งเงินสมทบ  หรือไม่มารับเงินคืนภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งให้มารับเงิน  ให้เงินนั้นตกเป็นของกองทุน(๑๕)

                มาตรา  ๔๗  ทวิ  ในกรณีที่นายจ้างไม่นำส่งเงินสมทบหรือนำส่งไม่ครบตามกำหนดเวลาในมาตรา  ๔๗  วรรคสอง  ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีคำเตือนเป็นหนังสือให้นายจ้างนำเงินสมทบที่ค้างชำระและเงินเพิ่มมาชำระภายในกำหนดไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือนั้น  ถ้านายจ้างได้รับคำเตือนดังกล่าวแล้วแต่ยังไม่นำเงินสมทบที่ค้างชำระและเงินเพิ่มมาชำระภายในกำหนด  ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจประเมินเงินสมทบและแจ้งเป็นหนังสือให้นายจ้างนำส่งได้  ดังนี้

                (๑)  ถ้านายจ้างเคยนำส่งเงินสมทบมาแล้วให้ถือว่าจำนวนเงินสมทบที่นายจ้างมีหน้าที่นำส่งในเดือนต่อมาแต่ละเดือนมีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินสมทบในเดือนที่นายจ้างได้นำส่งแล้วเดือนสุดท้ายเต็มเดือน

                (๒)  ถ้านายจ้างซึ่งมีหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้แต่ไม่ยื่นแบบรายการตามมาตรา  ๓๔  หรือยื่นแบบรายการตามมาตรา  ๓๔  แล้ว  แต่ไม่เคยนำส่งเงินสมทบหรือยื่นแบบรายการตามมาตรา  ๓๔  โดยแจ้งจำนวนและรายชื่อลูกจ้างน้อยกว่าจำนวนลูกจ้างที่มีอยู่จริง  ให้ประเมินเงินสมทบจากแบบรายการที่นายจ้างเคยยื่นไว้  หรือจากจำนวนลูกจ้างที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจพบแล้วแต่กรณีโดยถือว่าลูกจ้างแต่ละคนได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนในอัตราที่ได้เคยมีการยื่นแบบรายการไว้  แต่ถ้าไม่เคยมีการยื่นแบบรายการหรือยื่นแบบรายการไม่ครบถ้วน  ให้ถือว่าลูกจ้างแต่ละคนได้รับค่าจ้างรายเดือนไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานที่ใช้บังคับอยู่ในท้องที่นั้น  คูณด้วยสามสิบ

                ในกรณีที่มีการพิสูจน์ได้ภายในสองปีนับแต่วันที่มีการแจ้งการประเมินเงินสมทบตามวรรคหนึ่งว่าจำนวนเงินสมทบที่แท้จริงที่นายจ้างมีหน้าที่ต้องนำส่งมีจำนวนมากกว่าหรือน้อยกว่าจำนวนเงินสมทบที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินไว้ตาม (๑)  หรือ  (๒)  ให้สำนักงานมีหนังสือแจ้งผลการพิสูจน์ให้นายจ้างทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบผลการพิสูจน์เพื่อให้นายจ้างนำส่งเงินสมทบเพิ่มเติมภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง  หรือยื่นคำขอต่อสำนักงานเพื่อขอให้คืนเงินสมทบ  ถ้านายจ้างไม่มารับเงินดังกล่าวคืนภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ทราบผลการพิสูจน์ให้เงินนั้นตกเป็นของกองทุน

                การนำส่งคำเตือน  การแจ้งจำนวนเงินสมทบที่ประเมินได้และการแจ้งผลการพิสูจน์ให้นำความในมาตรา  ๓๐  มาใช้บังคับโดยอนุโลม(๑๖)

                มาตรา  ๔๘  ในกรณีที่ผู้ประกันตนทำงานกับนายจ้างหลายรายให้นายจ้างทุกรายมีหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรา  ๔๖  และมาตรา  ๔๗

                มาตรา  ๔๙  นายจ้างซึ่งไม่นำส่งเงินสมทบในส่วนของตนหรือในส่วนของผู้ประกันตนหรือส่งไม่ครบจำนวนภายในเวลาที่กำหนดตามมาตรา  ๔๗  ต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสองต่อเดือนของจำนวนเงินสมทบที่นายจ้างยังมิได้นำส่ง  หรือของจำนวนเงินสมทบที่ยังขาดอยู่  นับแต่วันถัดจากวันที่ต้องนำส่งเงินสมทบ  สำหรับเศษของเดือนถ้าถึงสิบห้าวันหรือกว่านั้นให้นับเป็นหนึ่งเดือน  ถ้าน้อยกว่านั้นให้ปัดทิ้ง

                ในกรณีที่นายจ้างมิได้หักค่าจ้างของผู้ประกันตนเพื่อส่งเป็นเงินสมทบ  หรือหักไว้แล้ว  แต่ยังไม่ครบจำนวนตามมาตรา  ๔๗  วรรคหนึ่ง  ให้นายจ้างรับผิดใช้เงินที่ต้องส่งเป็นเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนเต็มจำนวน  และต้องจ่ายเงินเพิ่มในเงินจำนวนนี้ตามวรรคหนึ่งนับแต่วันถัดจากวันที่ต้องนำส่งเงินสมทบ  และในกรณีเช่นว่านี้สิทธิที่ผู้ประกันตนพึงได้รับคงมีเสมือนหนึ่งว่าผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบแล้ว

                มาตรา  ๕๐  เลขาธิการมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ยึด  อายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของนายจ้างซึ่งไม่นำส่งเงินสมทบและหรือเงินเพิ่ม  หรือนำส่งไม่ครบจำนวนตามมาตรา  ๔๙  ทั้งนี้  เพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อให้ได้รับเงินที่ค้างชำระ

                การมีคำสั่งให้ยึด  อายัด  หรือขายทอดตลาดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งจะกระทำได้ต่อเมื่อได้ส่งคำเตือนเป็นหนังสือให้นายจ้างนำเงินสมทบและหรือเงินเพิ่มที่ค้างมาชำระภายในกำหนดไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือนั้น และนายจ้างไม่ชำระภายในกำหนด

                หลักเกณฑ์และวิธีการยึด  อายัด  และขายทอดตลาดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด  ทั้งนี้ให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม

                เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าว  ให้หักไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการยึด  อายัด  และขายทอดตลาด  และชำระเงินสมทบและเงินเพิ่มที่ค้างชำระ  ถ้ามีเงินเหลือให้คืนแก่นายจ้างโดยเร็วถ้านายจ้างมิได้เรียกเอาเงินที่เหลือคืนภายในห้าปีให้ตกเป็นของกองทุน

                มาตรา  ๕๑  หนี้ที่เกิดจากการไม่ชำระเงินสมทบและหรือเงินเพิ่ม  ให้สำนักงานมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมดของนายจ้างซึ่งเป็นลูกหนี้ในลำดับเดียวกับบุริมสิทธิในมูลค่าภาษีอากรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

                มาตรา  ๕๒  ในกรณีที่นายจ้างเป็นผู้รับเหมาช่วงให้ผู้รับเหมาช่วงถัดขึ้นไปหากมีตลอดสายจนถึงผู้รับเหมาชั้นต้นร่วมรับผิดกับผู้รับเหมาช่วงซึ่งเป็นนายจ้างในเงินสมทบ   ซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายตามพระราชบัญญัตินี้

                มาตรา  ๕๓  ให้นำบทบัญญัติมาตรา  ๔๙  มาตรา  ๕๐  และมาตรา  ๕๑  มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่ผู้รับเหมาช่วงตามมาตรา  ๕๒  ซึ่งไม่นำส่งเงินสมทบหรือส่งไม่ครบจำนวนภายในเวลาที่กำหนด(๑๗)

 

ลักษณะ  ๓

ประโยชน์ทดแทน

หมวด  ๑

บททั่วไป

 

                มาตรา  ๕๔  ผู้ประกันตนหรือบุคคลตามมาตรา  ๗๓  มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนจากกองทุน  ดังต่อไปนี้

                (๑)   ประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย

                (๒)  ประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร

                (๓)  ประโยชน์ทดแทนในกรณีทุพพลภาพ

                (๔)  ประโยชน์ทดแทนในกรณีตาย

                (๕)  ประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร

                (๖)   ประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ

                (๗)  ประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน  ยกเว้นผู้ประกันตนตามมาตรา  ๓๙

                มาตรา  ๕๕  ในกรณีที่นายจ้างได้จัดสวัสดิการเกี่ยวกับกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยหรือกรณีทุพพลภาพ  หรือกรณีตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน  หรือกรณีคลอดบุตรหรือกรณีสงเคราะห์บุตร  หรือกรณี  ชราภาพ  หรือกรณีว่างงาน ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้แก่ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา  ๓๓  ที่เข้าทำงานก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  ถ้าสวัสดิการนั้น  มีกรณีใดที่จ่ายในอัตราสูงกว่าประโยชน์ทดแทนตามพระราชบัญญัตินี้  ให้นายจ้างนั้นนำระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน  สัญญาจ้างแรงงาน  หรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง  ซึ่งกำหนดสวัสดิการที่ว่านั้นมาแสดงต่อคณะกรรมการ  เพื่อขอลดส่วนอัตราเงินสมทบในประเภทประโยชน์ทดแทนที่นายจ้างได้จัดสวัสดิการให้แล้วจากอัตราเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างนั้นต้องจ่ายเข้ากองทุนตามมาตรา  ๔๖  และให้นายจ้างใช้อัตราเงินสมทบในส่วนที่เหลือภายหลังคิดส่วนลดดังกล่าวแล้วมาคำนวณเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตน  และเงินสมทบในส่วนของนายจ้างที่ยังมีหน้าที่ต้องส่งเข้ากองทุน  เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในส่วนอื่นต่อไป

                การขอลดส่วนอัตราเงินสมทบและการพิจารณาหักส่วนลดอัตราเงินสมทบตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์  วิธีการ  และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด

                มาตรา  ๕๖  ผู้ประกันตนหรือบุคคลอื่นใดเห็นว่าตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีใดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  ๕๔  และประสงค์จะขอรับประโยชน์ทดแทนนั้น  ให้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนต่อสำนักงานตามระเบียบที่เลขาธิการกำหนดภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่มีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนนั้น  และให้เลขาธิการหรือผู้ซึ่งเลขาธิการมอบหมายพิจารณาสั่งการโดยเร็ว

                ประโยชน์ทดแทนตามวรรคหนึ่งที่เป็นตัวเงิน  ถ้าผู้ประกันตนหรือบุคคลซึ่งมีสิทธิไม่มารับภายในสองปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักงานให้เงินนั้นตกเป็นของกองทุน(๑๘)

                มาตรา  ๕๗  การคำนวณค่าจ้างรายวันในการจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้ให้แก่ผู้ประกันตนตามมาตรา  ๓๓  ให้คำนวณโดยนำค่าจ้างสามเดือนแรกของค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบที่นายจ้างนำส่งสำนักงานแล้วย้อนหลังเก้าเดือนหารด้วยเก้าสิบ  แต่ถ้าผู้ประกันตนมีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่า  ถ้านำค่าจ้างของสามเดือนอื่นในระยะเวลา                  เก้าเดือนนั้นมาคำนวณแล้วจะมีจำนวนสูงกว่า  ก็ให้นำค่าจ้างสามเดือนนั้นหารด้วยเก้าสิบ  หรือในกรณีที่ผู้ประกันตนยังส่งเงินสมทบไม่ครบเก้าเดือนให้นำค่าจ้างสามเดือนสุดท้าย           ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบที่นายจ้างได้นำส่งสำนักงานแล้วหารด้วยเก้าสิบ  เป็นเกณฑ์คำนวณ

                สำหรับการคำนวณค่าจ้างรายวันในการจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้ให้แก่ผู้ประกันตนตามมาตรา  ๓๙  นั้น  ให้คำนวณโดยเฉลี่ยจากจำนวนเงินที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบตามมาตรา  ๓๙  วรรคสอง(๑๙)

                มาตรา  ๕๘  การรับประโยชน์ทดแทนตามพระราชบัญญัตินี้  ในกรณีที่เป็นบริการทางการแพทย์  ผู้ประกันตนหรือคู่สมรสของผู้ประกันตนจะต้องรับบริการทางการแพทย์จากสถานพยาบาลตามมาตรา  ๕๙

                รายละเอียด  และเงื่อนไขเกี่ยวกับบริการทางการแพทย์ที่ผู้ประกันตน  หรือคู่สมรสของผู้ประกันตนจะได้รับ  ให้เป็นไปตามระเบียบที่เลขาธิการกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ

                มาตรา  ๕๙  ให้เลขาธิการประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดเขตท้องที่และชื่อสถานพยาบาลที่ผู้ประกันตนหรือคู่สมรสของผู้ประกันตนมีสิทธิไปรับบริการทางการแพทย์ได้

                ผู้ประกันตนหรือคู่สมรสของผู้ประกันตนซึ่งมีสิทธิได้รับบริการทางการแพทย์  ถ้าทำงานหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตท้องที่ใดให้ไปรับบริการทางการแพทย์จากสถานพยาบาลตามวรรคหนึ่งที่อยู่ในเขตท้องที่นั้น  เว้นแต่ในกรณีที่ในเขตท้องที่นั้นไม่มีสถานพยาบาลตามวรรคหนึ่ง  หรือมีแต่ผู้ประกันตนหรือคู่สมรสของผู้ประกันตนมีเหตุผลสมควรที่ไม่สามารถไปรับบริการทางการแพทย์จากสถานพยาบาลดังกล่าวได้  ก็ให้ไปรับบริการทางการแพทย์จากสถานพยาบาลตามวรรคหนึ่งที่อยู่ในเขตท้องที่อื่นได้

                ในกรณีที่ผู้ประกันตนหรือคู่สมรสของผู้ประกันตนไปรับบริการทางการแพทย์จากสถานพยาบาลอื่นนอกจากที่กำหนดไว้ในวรรคสอง  ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ที่ต้องจ่ายให้แก่สถานพยาบาลอื่นนั้น ตามจำนวนที่สำนักงานกำหนด  โดยคำนึงถึงสภาพของการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย  การคลอดบุตร  สภาพทางเศรษฐกิจของแต่ละเขตท้องที่  และลักษณะของการบริการทางการแพทย์ที่ได้รับ  ทั้งนี้  จะต้องไม่เกินอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ

                มาตรา  ๖๐  ในกรณีที่ผู้ประกันตนหรือคู่สมรสของผู้ประกันตนไปรับบริการทางการแพทย์จากสถานพยาบาลแล้วละเลยหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำหรือคำสั่งของแพทย์โดยไม่มีเหตุอันสมควร  เลขาธิการหรือผู้ซึ่งเลขาธิการมอบหมายจะสั่งลดประโยชน์ทดแทนก็ได้  ทั้งนี้โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการแพทย์

                มาตรา  ๖๑  ผู้ประกันตนหรือบุคคลตามมาตรา  ๓๘  วรรคสอง  มาตรา  ๗๓  หรือมาตรา  ๗๓  ทวิ  ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเมื่อปรากฏว่าการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย  หรือทุพพลภาพ   หรือการตายนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุที่บุคคลดังกล่าวจงใจก่อให้เกิดขึ้นหรือยินยอมให้ผู้อื่นก่อให้เกิดขึ้น(๒๐)

                มาตรา  ๖๑  ทวิ  ในกรณีที่ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามมาตรา  ๖๔  และมาตรา  ๗๑  หรือเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรตามมาตรา  ๖๗  ในเวลาเดียวกัน  ให้มีสิทธิขอรับเงินทดแทนการขาดรายได้หรือเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรในประเภทใดประเภทหนึ่งได้เพียงประเภทเดียว  โดยให้แสดงความจำนงตามแบบที่เลขาธิการกำหนด(๒๑)

หมวด  ๒

ประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย

                มาตรา  ๖๒  ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน  ต่อเมื่อภายในระยะเวลาสิบห้าเดือนก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าสามเดือน (๒๒)

                มาตรา  ๖๓  ประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงานได้แก่

                (๑)  ค่าตรวจวินิจฉัยโรค

                (๒)  ค่าบำบัดทางการแพทย์

                (๓)  ค่ากินอยู่และรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล

                (๔)  ค่ายาและค่าเวชภัณฑ์

                (๕)  ค่ารถพยาบาลหรือค่าพาหนะรับส่งผู้ป่วย

                (๖)  ค่าบริการอื่นที่จำเป็น 

                ทั้งนี้  ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ

                ผู้ประกันตนที่ต้องหยุดงานเพื่อการรักษาพยาบาลตามคำสั่งของแพทย์ให้ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา  ๖๔  ด้วย

                มาตรา  ๖๔  ในกรณีที่ผู้ประกันตนประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงานให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าจ้างตามมาตรา  ๕๗  สำหรับการที่ผู้ประกันตนต้องหยุดงานเพื่อการรักษาพยาบาลตามคำสั่งของแพทย์ครั้งหนึ่งไม่เกินเก้าสิบวัน  และในระยะเวลาหนึ่งปีปฏิทินต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน  เว้นแต่การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังตามที่กำหนดในกฎกระทรวงก็ให้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน  แต่ไม่เกินสามร้อยหกสิบห้าวัน

                ระยะเวลาได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้  ให้เริ่มนับแต่วันแรกที่ต้องหยุดงานตามคำสั่งของแพทย์จนถึงวันสุดท้ายที่แพทย์กำหนดให้หยุดงาน  หรือจนถึงวันสุดท้ายที่หยุดงานในกรณีผู้ประกันตนกลับเข้าทำงานก่อนครบกำหนดเวลาตามคำสั่งของแพทย์แต่ไม่เกินระยะเวลาที่กำหนดในวรรคหนึ่ง

                ในกรณีที่ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับค่าจ้างจากนายจ้างในระหว่างหยุดงาน  เพื่อการรักษาพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานหรือมีสิทธิตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน  สัญญาจ้างแรงงาน  หรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแล้วแต่กรณี  ผู้ประกันตนไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนตามวรรคหนึ่งจนกว่าสิทธิได้รับเงินค่าจ้างนั้นได้สิ้นสุดลง  จึงจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนดังกล่าวเท่าระยะเวลาที่คงเหลือ  และถ้าเงินค่าจ้างที่ได้รับจากนายจ้างในกรณีใดน้อยกว่าเงินทดแทนการขาดรายได้จากกองทุน  ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากกองทุนในส่วนที่ขาดด้วย

หมวด  ๓

ประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร

 

                มาตรา  ๖๕  ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรสำหรับตนเองหรือภริยา  หรือสำหรับหญิงซึ่งอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับผู้ประกันตนโดยเปิดเผย  ตามระเบียบที่เลขาธิการกำหนด ถ้าผู้ประกันตนไม่มีภริยา ทั้งนี้  ต่อเมื่อภายในระยะเวลาสิบห้าเดือนก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าเจ็ดเดือน

                ประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร  ให้ผู้ประกันตนแต่ละคนมีสิทธิได้รับสำหรับการคลอดบุตรไม่เกินสองครั้ง(๒๓)

                มาตรา  ๖๖  ประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร  ได้แก่

                (๑)   ค่าตรวจและรับฝากครรภ์

                (๒)  ค่าบำบัดทางการแพทย์

                (๓)  ค่ายาและค่าเวชภัณฑ์

                (๔)  ค่าทำคลอด

                (๕)  ค่ากินอยู่และรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล

                (๖)   ค่าบริบาลและค่ารักษาพยาบาลทารกแรกเกิด

                (๗)  ค่ารถพยาบาลหรือค่าพาหนะรับส่งผู้ป่วย

                (๘)  ค่าบริการอื่นที่จำเป็น

                ทั้งนี้  ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ

                ผู้ประกันตนซึ่งต้องหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรให้ได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา  ๖๗  ด้วย(๒๔)

                มาตรา  ๖๗  ในกรณีที่ผู้ประกันตนหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร  ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรไม่เกินสองครั้งเป็นการเหมาจ่ายในอัตราครั้งละร้อยละห้าสิบของค่าจ้างตามมาตรา  ๕๗  เป็นเวลาเก้าสิบวัน(๒๕)

                มาตรา  ๖๘  ในกรณีที่ผู้ประกันตนหรือคู่สมรสของผู้ประกันตนไม่สามารถรับประโยชน์ทดแทนตามมาตรา  ๖๖  ได้  เนื่องจากผู้ประกันตนหรือคู่สมรสของผู้ประกันตนไม่ได้คลอดบุตรในสถานพยาบาลตามมาตรา  ๕๙  ให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทดแทนการคลอดบุตร  ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ

หมวด  ๔

ประโยชน์ทดแทนในกรณีทุพพลภาพ

                มาตรา  ๖๙  ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน  ต่อเมื่อภายในระยะเวลาสิบห้าเดือนก่อนทุพพลภาพผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าสามเดือน(๒๖)

                มาตรา  ๗๐  ประโยชน์ทดแทนในกรณีทุพพลภาพ  ได้แก่

                (๑)   ค่าตรวจวินิจฉัยโรค

                (๒)  ค่าบำบัดทางการแพทย์

                (๓)  ค่ายาและค่าเวชภัณฑ์

                (๔)  ค่ากินอยู่และรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล

                (๕)  ค่ารถพยาบาลหรือค่าพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ

                (๖)  ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย  จิตใจและอาชีพ

                (๗)  ค่าบริการอื่นที่จำเป็น

                ทั้งนี้  ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ

                มาตรา  ๗๑  ในกรณีที่ผู้ประกันตนทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงานให้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าจ้างตามมาตรา  ๕๗  ตลอดชีวิต(๒๗)

                มาตรา  ๗๒  ในกรณีที่คณะกรรมการการแพทย์วินิจฉัยว่าการทุพพลภาพของผู้ประกันตนได้รับการฟื้นฟูตามมาตรา  ๗๐(๖)  จนมีสภาพดีขึ้นแล้ว  ให้เลขาธิการหรือผู้ซึ่งเลขาธิการมอบหมายพิจารณาสั่งลดเงินทดแทนการขาดรายได้เนื่องจากการทุพพลภาพได้  ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ

ในกรณีที่ได้มีการลดเงินทดแทนการขาดรายได้ตามวรรคหนึ่งไปแล้ว  ต่อมาในภายหลังปรากฏว่าเหตุทุพพลภาพนั้นมีสภาพเสื่อมลง  ถ้าคณะกรรมการการแพทย์วินิจฉัยว่าการทุพพลภาพนั้นเสื่อมลงไปจากที่เคยวินิจฉัยไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้เลขาธิการพิจารณาเพิ่มเงินทดแทนการขาดรายได้นั้นได้(๒๘)

หมวด  ๕

ประโยชน์ทดแทนในกรณีตาย

                มาตรา  ๗๓  ในกรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายโดยมิใช่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน  ถ้าภายในระยะเวลาหกเดือนก่อนถึงแก่ความตายผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือน  ให้จ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีตาย  ดังนี้

                (๑)  เงินค่าทำศพตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง  แต่ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยเท่าของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน  ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน  ให้จ่ายให้แก่บุคคลตามลำดับ  ดังนี้

                       (ก)  บุคคลซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้จัดการศพ  และได้เป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน

                       (ข)  สามีภริยา  บิดามารดา  หรือบุตรของผู้ประกันตนซึ่งมีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน

                       (ค)  บุคคลอื่นซึ่งมีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน

                (๒)  เงินสงเคราะห์กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย  ให้จ่ายแก่บุคคลซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์นั้น  แต่ถ้าผู้ประกันตนมิได้มีหนังสือระบุไว้ก็ให้นำมาเฉลี่ยจ่ายให้แก่สามีภริยา  บิดามารดา  หรือบุตรของผู้ประกันตนในจำนวนที่เท่ากัน  ดังนี้

                        (ก)  ถ้าก่อนถึงแก่ความตาย  ผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่สามสิบหกเดือนขึ้นไป  แต่ไม่ถึงสิบปี  ให้จ่ายเงินสงเคราะห์เป็นจำนวนเท่ากับร้อยละห้าสิบของค่าจ้างรายเดือนที่คำนวณได้ตามมาตรา  ๕๗  คูณด้วยสาม

                        (ข)  ถ้าก่อนถึงแก่ความตาย  ผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่สิบปีขึ้นไป  ให้จ่ายเงินสงเคราะห์เป็นจำนวนเท่ากับร้อยละห้าสิบของค่าจ้างรายเดือนที่คำนวณได้ตามมาตรา  ๕๗  คูณด้วยสิบ(๒๙)

                มาตรา  ๗๓  ทวิ  ในกรณีที่ผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพตามมาตรา  ๗๑  ถึงแก่ความตายให้นำความในมาตรา  ๗๓  มาใช้บังคับโดยอนุโลม  โดยให้นำเงินทดแทนการขาดรายได้ที่ผู้ประกันตนได้รับในเดือนสุดท้ายก่อนถึงแก่ความตายมาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ

                ในกรณีที่ผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพนั้นอยู่ในข่ายที่จะได้รับเงินค่าทำศพ  และเงินสงเคราะห์กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายในฐานะที่เป็นผู้ประกันตนและในฐานะที่เป็นผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพตามวรรคหนึ่งในเวลาเดียวกัน  ให้มีสิทธิได้รับเงินค่าทำศพและเงินสงเคราะห์กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายตามมาตรา  ๗๓  เพียงทางเดียว(๓๐)

 

หมวด  ๖

ประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร

 

                มาตรา  ๗๔  ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรต่อเมื่อภายในระยะเวลาสามสิบหกเดือนก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน  ผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบสองเดือน(๓๑)

                มาตรา  ๗๕  ประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร  ได้แก่

                (๑)  ค่าสงเคราะห์ความเป็นอยู่ของบุตร

                (๒)  ค่าเล่าเรียนบุตร

                (๓)  ค่ารักษาพยาบาลบุตร

                (๔)  ค่าสงเคราะห์อื่นที่จำเป็น

                ทั้งนี้  ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง

                มาตรา  ๗๕  ทวิ  ในกรณีที่ผู้ประกันตนซึ่งมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรตามมารา  ๗๔  หากผู้ประกันตนนั้นเป็นผู้ทุพพลภาพซึ่งมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีทุพพลภาพ  หรือถึงแก่ความตาย  ให้ผู้ประกันตนซึ่งเป็นผู้ทุพพลภาพนั้น  หรือบุคคลตามมาตรา  ๗๕  จัตวา  มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรด้วย(๓๒)

                มาตรา  ๗๕  ตรี  ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรสำหรับ    บุตรชอบด้วยกฎหมายซึ่งมีอายุตามที่กำหนดในกฎกระทรวงแต่ต้องไม่เกินสิบห้าปีบริบูรณ์  จำนวนคราวละไม่เกินสองคน  บุตรชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวไม่รวมถึงบุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งได้ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น

                ในกรณีที่บิดาและมารดาเป็นผู้ประกันตน  ให้บิดาหรือมารดาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรเพียงฝ่ายเดียว  เว้นแต่เมื่อมีการจดทะเบียนหย่าหรือแยกกันอยู่และบุตรอยู่ในความอุปการะของผู้ประกันตนฝ่ายใดให้ผู้ประกันตนฝ่ายนั้นเป็นผู้มีสิทธิได้รับ

                หลักเกณฑ์  วิธีการ  และเงื่อนไขในการจ่ายเงินสงเคราะห์บุตร  ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง(๓๓)

                มาตรา  ๗๕  จัตวา  ในกรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย  ให้จ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรแก่บุคคลตามลำดับ  ดังนี้

                (๑)  สามีหรือภริยาของผู้ประกันตน  หรือบุคคลซึ่งอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยากับผู้ประกันตนโดยเปิดเผยตามระเบียบที่เลขาธิการกำหนด  และเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร

                (๒)  ผู้อุปการะบุตรของผู้ประกันตน  ในกรณีบุคคลตาม  (๑)  มิได้เป็นผู้อุปการะบุตร  หรือถูกถอนอำนาจปกครอง  หรือถึงแก่ความตาย(๓๔)

หมวด  ๗

ประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ

                มาตรา  ๗๖  ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพต่อเมื่อผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเดือน  ไม่ว่าระยะเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบเดือนจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม(๓๕)

                มาตรา  ๗๗  ประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ  ได้แก่

                (๑)  เงินเลี้ยงชีพรายเดือน  เรียกว่า  เงินบำนาญชราภาพ  หรือ

                (๒)  เงินบำเหน็จที่จ่ายให้ครั้งเดียว  เรียกว่า  เงินบำเหน็จชราภาพ

                หลักเกณฑ์  วิธีการ  ระยะเวลา  และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง(๓๖)

                มาตรา  ๗๗  ทวิ  ในกรณีที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเดือน  ให้มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพตั้งแต่เดือนถัดจากเดือนที่อายุครบห้าสิบห้าปีบริบูรณ์  เว้นแต่เมื่อมีอายุครบห้าสิบห้าปีบริบูรณ์และความเป็นผู้ประกันตนยังไม่สิ้นสุดลงตามมาตรา  ๓๘  หรือมาตรา  ๔๑  ให้ผู้นั้นมีสิทธิได้รับตั้งแต่เดือนถัดจากเดือนที่ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

                ในกรณีที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบไม่ครบหนึ่งร้อยแปดสิบเดือนและความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลงตามมาตรา  ๓๘  หรือมาตรา  ๔๑  ให้ผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ(๓๗)

                มาตรา  ๗๗  ตรี  ในกรณีที่บุคคลซึ่งได้รับเงินบำนาญชราภาพได้กลับเข้าเป็นผู้ประกันตนให้งดการจ่ายเงินบำนาญชราภาพของบุคคลดังกล่าวจนกว่าความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลงตามมาตรา  ๓๘  หรือมาตรา  ๔๑  แล้วแต่กรณี

                ในกรณีที่ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลงด้วยเหตุอื่นนอกจากถึงแก่ความตายให้ผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพ

                ในกรณีที่ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลงเนื่องจากผู้ประกันตนถึงแก่ความตายให้ทายาทผู้มีสิทธิของผู้นั้นตามมาตรา  ๗๗  จัตวา  มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ(๓๘)

                มาตรา  ๗๗  จัตวา  ในกรณีผู้ประกันตนซึ่งมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพตามมาตรา  ๗๗  ทวิ  ถึงแก่ความตายก่อนที่จะได้รับประโยชน์ทดแทน  หรือผู้รับเงินบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายภายในหกสิบเดือนนับแต่เดือนที่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพ  ให้ทายาทของผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ

                ทายาทผู้มีสิทธิตามวรรคหนึ่ง  ได้แก่

                (๑)  บุตรชอบด้วยกฎหมาย  ยกเว้นบุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งได้ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นให้ได้รับสองส่วน  ถ้าผู้ประกันตนที่ตายมีบุตรตั้งแต่สามคนขึ้นไปให้ได้รับสามส่วน

                (๒)  สามีหรือภริยาให้ได้รับหนึ่งส่วน  และ

                (๓)  บิดามารดา  หรือบิดา  หรือมารดาที่มีชีวิตอยู่ให้ได้รับหนึ่งส่วน

                ในกรณีที่ไม่มีทายาทในอนุมาตราใด  หรือทายาทนั้นได้ตายไปเสียก่อนให้แบ่งเงินตามมาตรา  ๗๗(๒)  ในระหว่างทายาทผู้มีสิทธิในอนุมาตราที่มีทายาทผู้มีสิทธิได้รับ(๓๙)

                มาตรา  ๗๗  เบญจ  ในกรณีที่ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามมาตรา  ๗๑  และเงินบำนาญชราภาพในเวลาเดียวกัน  ให้ผู้ประกันตนได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามมาตรา  ๗๑  และเงินบำเหน็จชราภาพแทน

                ในกรณีที่ผู้ประกันตนได้รับเงินบำนาญชราภาพไปแล้ว  และต่อมาเป็นผู้ทุพพลภาพภายในกำหนดเวลาตามมาตรา  ๓๘  วรรคสอง  ให้งดการจ่ายเงินบำนาญชราภาพและให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพแทน  ทั้งนี้  ให้หักเงินบำนาญชราภาพที่ได้รับไปแล้วก่อนการเป็นผู้ทุพพลภาพออกจากเงินบำเหน็จชราภาพที่ผู้นั้นมีสิทธิได้รับ  แล้วนำเงินที่หักนั้นส่งเข้ากองทุน(๔๐)

หมวด  ๘

ประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน

 

                มาตรา  ๗๘  ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานต่อเมื่อผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าหกเดือน  และต้องอยู่ภายในระยะเวลาสิบห้าเดือนก่อนการว่างงาน  และจะต้องเป็นผู้ที่อยู่ในเงื่อนไขดังต่อไปนี้

                (๑)  เป็นผู้มีความสามารถในการทำงาน  พร้อมที่จะทำงานที่เหมาะสมตามที่จัดหาให้  หรือต้องไม่ปฏิเสธการฝึกงาน  และได้ขึ้นทะเบียนไว้ที่สำนักจัดหางานของรัฐ  โดยต้องไปรายงานตัวไม่น้อยกว่าเดือนละหนึ่งครั้ง

                (๒)  การที่ผู้ประกันตนว่างงานต้องมิใช่ถูกเลิกจ้างเนื่องจากทุจริตต่อหน้าที่  หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง  หรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย  หรือฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน  หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายในกรณีร้ายแรง  หรือละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาเจ็ดวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร  หรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง  หรือได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก  เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

                (๓)  ต้องมิใช่ผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพตามหมวด  ๗  ในลักษณะนี้

                มาตรา  ๗๙  ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนการว่างงานตั้งแต่วันที่แปดนับแต่วันว่างงานจากการทำงานกับนายจ้างรายสุดท้าย  ทั้งนี้  ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง

ลักษณะ  ๔

พนักงานเจ้าหน้าที่และการตรวจตราและควบคุม

                (๑)  เข้าไปในสถานประกอบการ  หรือสำนักงานของนายจ้าง  สถานที่ทำงานของลูกจ้างในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกหรือในระหว่างเวลาทำการ  เพื่อตรวจสอบหรือสอบถามข้อเท็จจริง  ตรวจสอบทรัพย์สินหรือเอกสารหลักฐานอื่น  ถ่ายภาพ  ถ่ายสำเนาเอกสารที่เกี่ยวกับการจ้าง  การจ่ายค่าจ้าง  ทะเบียนลูกจ้าง  การจ่ายเงินสมทบ  และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง  หรือนำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบ  หรือกระทำการอย่างอื่นตามสมควรเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงในอันที่จะปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้                มาตรา  ๘๐  ในการปฏิบัติการตามหน้าที่  ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจ  ดังต่อไปนี้ 

                (๒)  ค้นสถานที่หรือยานพาหนะใดๆ  ที่มีข้อสงสัยโดยมีเหตุอันควรเชื่อว่ามีทรัพย์สินของนายจ้างซึ่งไม่นำส่งเงินสมทบและหรือเงินเพิ่ม  หรือนำส่งไม่ครบจำนวน  โดยให้กระทำในระหว่างเวลาทำการ  หรือในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก  เว้นแต่การค้นในระหว่างเวลาดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จจะกระทำต่อไปก็ได้

                (๓)  มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำหรือให้ส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง  หรือสิ่งอื่นที่จำเป็นมาเพื่อประกอบการพิจารณา  ทั้งนี้  ให้นำความในมาตรา  ๓๐  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

                (๔)  ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของนายจ้างตามคำสั่งของเลขาธิการ  ตามมาตรา  ๕๐  ในกรณีที่นายจ้างไม่นำส่งเงินสมทบและหรือเงินเพิ่ม  หรือนำส่งไม่ครบจำนวน

                ในการปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง  พนักงานเจ้าหน้าที่จะนำข้าราชการ  หรือลูกจ้างในสำนักงานไปช่วยปฏิบัติงานด้วยก็ได้

                มาตรา  ๘๑  ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา  ๘๐  ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร

                มาตรา  ๘๒  ในการปฏิบัติหน้าที่  พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัว 

บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่  ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนด

                มาตรา  ๘๓  ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

                มาตรา  ๘๔  เพื่อประโยชน์ในการตรวจตรา  และควบคุมงานอันเกี่ยวกับการประกันสังคม  ให้นายจ้างจัดให้มีทะเบียนผู้ประกันตนและให้เก็บรักษาไว้  ณ  สถานที่ทำงานของนายจ้างพร้อมที่จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจได้

                ทะเบียนผู้ประกันตนตามวรรคหนึ่ง  ให้เป็นไปตามแบบที่เลขาธิการกำหนด

                มาตรา  ๘๔  ทวิ  กำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  ๓๙  มาตรา  ๔๕  มาตรา  ๔๗  มาตรา  ๔๗  ทวิ  และมาตรา  ๕๖  ถ้าผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามกำหนดเวลานั้นมิได้อยู่ในประเทศ  หรือมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลานั้นได้  และได้ยื่นคำร้องก่อนสิ้นกำหนดเวลานั้นเพื่อขอขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาโดยแสดงเหตุแห่งความจำเป็น  เมื่อเลขาธิการเห็นเป็นการสมควรจะขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาออกไปได้ตามความจำเป็นแก่กรณี  แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินไปกว่าหนึ่งเท่าของระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในมาตรานั้นๆ

                การขยายเวลาตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  ๓๙  หรือมาตรา  ๔๗  ไม่เป็นเหตุให้ลดหรืองดเงินเพิ่ม(๔๑)

ลักษณะ  ๕

การอุทธรณ์

                มาตรา  ๘๕  นายจ้าง  ผู้ประกันตน  หรือบุคคลอื่นใด  ซึ่งไม่พอใจในคำสั่งของเลขาธิการ  หรือของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งการตามพระราชบัญญัตินี้  เว้นแต่เป็นคำสั่งตามมาตรา  ๕๐  ให้มีสิทธิอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว(๔๒)

                หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นอุทธรณ์  ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

                มาตรา  ๘๖  ให้มีคณะกรรมการอุทธรณ์คณะหนึ่งซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งประกอบด้วย  ประธานกรรมการหนึ่งคนและกรรมการอื่นซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมาย  ผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์  ผู้ทรงคุณวุฒิทางระบบงานประกันสังคม  ผู้ทรงคุณวุฒิทางการแรงงาน  ผู้แทนฝ่ายนายจ้างสามคน  และผู้แทนฝ่ายลูกจ้างสามคน  และให้ผู้แทนสำนักงานเป็นกรรมการและเลขานุการ  ซึ่งทั้งคณะมีจำนวนรวมกันไม่เกินสิบสามคน

                มาตรา  ๘๗  ให้คณะกรรมการอุทธรณ์มีอำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ยื่นตามมาตรา  ๘๕ 

                เมื่อคณะกรรมการอุทธรณ์พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์แล้วให้แจ้งคำวินิจฉัยนั้นเป็นหนังสือให้ผู้อุทธรณ์ทราบ

                คำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์นั้น  ถ้าผู้อุทธรณ์ไม่พอใจให้มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัย  แต่ถ้าไม่นำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว  ให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์เป็นที่สุด

 

                มาตรา  ๘๘  การอุทธรณ์ไม่เป็นการทุเลาการปฏิบัติตามคำสั่งของเลขาธิการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งการตามพระราชบัญญัตินี้  เว้นแต่กรณีที่ผู้อุทธรณ์ได้ยื่นคำร้องต่อเลขาธิการขอให้ทุเลาการปฏิบัติตามคำสั่งนั้นไว้ก่อน  ถ้าเลขาธิการเห็นสมควรจะสั่งให้ทุเลาการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวไว้  เพื่อรอคำวินิจฉัยอุทธรณ์ก็ได้

                มาตรา  ๘๙  คณะกรรมการอุทธรณ์มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่มอบหมายได้  เมื่อคณะอนุกรรมการปฏิบัติตามที่ได้รับมอบหมายแล้ว  ให้เสนอความเห็นหรือรายงานต่อคณะกรรมการอุทธรณ์

                การประชุมของคณะอนุกรรมการ  ให้นำความในมาตรา  ๑๓  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

                มาตรา  ๙๐  ให้กรรมการอุทธรณ์อยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี

                กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่จะแต่งตั้งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้

                มาตรา  ๙๑  ให้นำบทบัญญัติมาตรา  ๑๑  มาตรา  ๑๒  มาตรา  ๑๓  และมาตรา  ๑๗  มาใช้บังคับแก่คณะกรรมการอุทธรณ์โดยอนุโลม

ลักษณะ  ๖

บทกำหนดโทษ

                มาตรา  ๙๒  ผู้ใดไม่ให้ถ้อยคำหรือไม่ส่งเอกสาร  หลักฐาน  หรือข้อมูลที่จำเป็นตามคำสั่งของคณะกรรมการ  คณะกรรมการการแพทย์  คณะกรรมการอุทธรณ์  คณะอนุกรรมการ  หรือพนักงานเจ้าหน้าที่  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน  หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

                มาตรา  ๙๓  ผู้ใดโดยเจตนาไม่กรอกรายการในแบบสำรวจ  กรอกรายการในแบบสำรวจไม่ครบถ้วนหรือไม่ส่งแบบสำรวจคืนภายในเวลาที่กำหนด  ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

                มาตรา  ๙๔  ผู้ใดกรอกข้อความหรือตัวเลขในแบบสำรวจโดยรู้อยู่ว่าเป็นเท็จ  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน  หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ 

                มาตรา  ๙๕  ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา  ๓๒  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน  หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

                มาตรา  ๙๖  นายจ้างผู้ใดโดยเจตนาไม่ยื่นแบบรายการต่อสำนักงานภายในกำหนดเวลาตามมาตรา  ๓๔  หรือไม่แจ้งเป็นหนังสือต่อสำนักงานขอเปลี่ยนแปลง  หรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการภายในกำหนดเวลาตามมาตรา  ๔๔  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน  หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ(๔๓)

                ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดต่อเนื่อง  ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับอีกวันละไม่เกินห้าพันบาทตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม

                มาตรา  ๙๗  นายจ้างผู้ใดยื่นแบบรายการตามมาตรา  ๓๔  หรือแจ้งเป็นหนังสือขอเปลี่ยนแปลง  หรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการตามมาตรา  ๔๔  โดยเจตนากรอกข้อความเป็นเท็จในแบบรายการ  หรือแจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงเป็นเท็จในหนังสือแจ้งขอเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติม  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ(๔๔)

                มาตรา  ๙๘  ผู้ใดขัดขวางหรือไม่อำนวยความสะดวกตามสมควรแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการตามมาตรา  ๘๐  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน  หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

                มาตรา  ๙๙  นายจ้างผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา  ๘๔  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน  หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

                มาตรา  ๑๐๐  ผู้ใดเปิดเผยข้อเท็จจริงใดเกี่ยวกับกิจการของนายจ้างอันเป็นข้อเท็จจริงที่ตามปกติวิสัยของนายจ้างจะพึงสงวนไว้ไม่เปิดเผย  ซึ่งตนได้มาหรือล่วงรู้เนื่องจากการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน  หรือปรับไม่เกินสามพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  เว้นแต่เป็นการเปิดเผยในการปฏิบัติราชการเพื่อประโยชน์แห่งพระราชบัญญัตินี้  หรือเพื่อประโยชน์แก่การคุ้มครองแรงงาน  หรือการสอบสวน  หรือการพิจารณาคดี

                มาตรา  ๑๐๑  ในกรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้กระทำความผิดและถูกลงโทษตามพระราชบัญญัตินี้  ให้ถือว่าผู้แทนของนิติบุคคล  กรรมการทุกคน  และผู้รับผิดชอบในการดำเนินการของนิติบุคคลนั้น  ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับนิติบุคคลนั้นด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้น  หรือได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้นแล้ว

                มาตรา  ๑๐๒  ถ้าเจ้าพนักงานดังต่อไปนี้เห็นว่าผู้กระทำผิดไม่ควรได้รับโทษถึงจำคุก  หรือไม่ควรถูกฟ้อง  สำหรับความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียวหรือความผิดที่มีโทษปรับหรือโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน  เว้นแต่โทษตามมาตรา  ๙๕  ให้มีอำนาจเปรียบเทียบดังนี้

                (๑)  เลขาธิการหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมาย  สำหรับความผิดที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร

                (๒) ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย  สำหรับความผิดที่เกิดขึ้นในจังหวัดอื่น

                ในกรณีที่มีการสอบสวน  ถ้าพนักงานสอบสวนพบว่าบุคคลใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้  ที่มีโทษอยู่ในเกณฑ์ที่จะทำการเปรียบเทียบได้และบุคคลนั้นยินยอมให้เปรียบเทียบให้พนักงานสอบสวนส่งเรื่องให้เลขาธิการหรือผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วแต่กรณีภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่บุคคลนั้นแสดงความยินยอมให้เปรียบเทียบ

                เมื่อผู้กระทำผิดได้ชำระเงินค่าปรับตามจำนวนที่เปรียบเทียบภายในสามสิบวันแล้ว  ให้ถือว่าคดี     เลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

                ถ้าผู้กระทำผิดไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบ  หรือเมื่อยินยอมแล้วไม่ชำระเงินค่าปรับภายในกำหนดเวลาตามวรรคสาม  ให้ดำเนินคดีต่อไป

บทเฉพาะกาล

                มาตรา  ๑๐๓  ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้บังคับแก่กิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ยี่สิบคนขึ้นไปนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

                เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้บังคับแก่กิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่สิบคนขึ้นไป

                พระราชบัญญัตินี้จะใช้บังคับแก่นายจ้างที่มีลูกจ้างน้อยกว่าสิบคนในท้องที่ใดและเมื่อใดให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา(๔๕)

                มาตรา  ๑๐๔  ให้ดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย  ในกรณีทุพพลภาพ  และในกรณีตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน  และในกรณีคลอดบุตร  นับแต่วันที่บทบัญญัติหมวด  ๒ ของลักษณะ  ๒  ใช้บังคับ

                การจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรและในกรณีชราภาพจะเริ่มดำเนินการเมื่อใดให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา  แต่ทั้งนี้ต้องไม่ช้ากว่าวันที่  ๓๑  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๑(๔๖)

                สำหรับการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานจะเริ่มดำเนินการเมื่อใด  ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

 

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

  พลเอก  ชาติชาย   ชุณหะวัณ

           นายกรัฐมนตรี

อัตราค่าธรรมเนียม

 

(๑)  ใบแทนหนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนประกันสังคม                                ฉบับละ  ๕๐         บาท

(๒)  ใบแทนบัตรประกันสังคม                                                                                        ฉบับละ  ๑๐          บาท

 

 

อัตราเงินสมทบท้ายพระราชบัญญัติ

อัตราเงินสมทบ

ผู้ออกเงินสมทบ

อัตราเงินสมทบเป็นร้อยละ

ของค่าจ้างของผู้ประกันตน

๑.  เงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณี

      ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย

      และคลอดบุตร

      (๑)  รัฐบาล

      (๒) นายจ้าง

      (๓)  ผู้ประกันตน

๒.  เงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณี

      สงเคราะห์บุตรและชราภาพ

      (๑)  รัฐบาล

      (๒) นายจ้าง

      (๓)  ผู้ประกันตน

๓.  เงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณี

      ว่างงาน

      (๑)  รัฐบาล

      (๒) นายจ้าง

      (๓)  ผู้ประกันตน

 

 

 

๑.๕

๑.๕

๑.๕

 

 

 

 

 

หมายเหตุ : เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้  คือ  เนื่องจากได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติประกันสังคม  พ.ศ.  ๒๔๙๗  มาเป็นเวลานานแล้ว  แต่ในขณะนั้นสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมไม่อำนวยให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับ  ปัจจุบันนี้การพัฒนาในด้านเศรษฐกิจและสังคมได้ก้าวหน้าไปมาก  สมควรสร้างหลักประกันให้แก่ลูกจ้างและบุคคลอื่น  โดยจัดตั้งกองทุนประกันสังคมขึ้นเพื่อให้การสงเคราะห์แก่ลูกจ้างและบุคคลอื่นซึ่งประสบอันตราย  เจ็บป่วย  ทุพพลภาพ  หรือตาย  อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน  รวมทั้งกรณีคลอดบุตร  กรณีสงเคราะห์บุตร  กรณีชราภาพ  และสำหรับกรณีว่างงานซึ่งให้หลักประกันเฉพาะลูกจ้าง  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

 


 


(๑)มาตรา  ๔(๑)  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๓  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)   พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๒)มาตรา  ๖  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๔  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)    พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๓)มาตรา  ๘  วรรคหนึ่ง  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๕  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๔)มาตรา ๑๔ ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๖  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๕) มาตรา  ๒๒  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๗  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ. ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๖) มาตรา  ๒๗  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๘  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๗)มาตรา  ๓๓  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๙  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๘) มาตรา  ๓๕  วรรคสอง  เพิ่มเติมโดยมาตรา  ๑๐  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

 

(๙) มาตรา  ๓๘  วรรคสอง  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๓  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๓)  พ.ศ.  ๒๕๔๒  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๑๐) มาตรา  ๓๙  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๑๑) มาตรา  ๔๑  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๑๓  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๑๒) มาตรา  ๔๑ วรรคสาม  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๔  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๓)  พ.ศ.  ๒๕๔๒  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๑๓) มาตรา  ๔๔  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๑๔  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๑๔) มาตรา  ๔๖  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๕  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๓)  พ.ศ. ๒๕๔๒  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๑๕)  มาตรา  ๔๗  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๑๖  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๑๖) มาตรา  ๔๗  ทวิ  เพิ่มเติมโดยมาตรา  ๑๗  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๑๗)  มาตรา ๕๓  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๑๘  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๑๘)  มาตรา  ๕๖  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๑๙  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๑๙)  มาตรา  ๕๗  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๒๐  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๒๐)  มาตรา  ๖๑  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๒๑  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๒๑)  มาตรา  ๖๑  ทวิ  เพิ่มเติมโดยมาตรา  ๒๒  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๒๒)  มาตรา  ๖๒  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๒๓  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๒๓) มาตรา  ๖๕  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๒๔  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๒๔)มาตรา  ๖๖  วรรคสาม  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๒๕  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๒๕) มาตรา  ๖๗  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๒๖  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๒๖) มาตรา  ๖๙  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๒๗  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๒๗) มาตรา  ๗๑  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๒๘  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๒๘) มาตรา  ๗๒  วรรคสอง  เพิ่มเติมโดยมาตรา  ๒๙  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๒๙) มาตรา  ๗๓  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๓๐  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๓๐) มาตรา  ๗๓  ทวิ  เพิ่มเติมโดยมาตรา  ๓๑  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๓๑) มาตรา  ๗๔  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๖  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๓)  พ.ศ.  ๒๕๔๒  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๓๒) มาตรา  ๗๕  ทวิ  เพิ่มเติมโดยมาตรา  ๗  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๓) พ.ศ.  ๒๕๔๒  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๓๓) มาตรา  ๗๕  ตรี  เพิ่มเติมโดยมาตรา  ๗  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๓)  พ.ศ.  ๒๕๔๒  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๓๔)มาตรา  ๗๕  จัตวา  เพิ่มเติมโดยมาตรา  ๗  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๓)   พ.ศ.  ๒๕๔๒  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๓๕)มาตรา  ๗๖  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๘  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๓)  พ.ศ.  ๒๕๔๒  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๓๖)มาตรา  ๗๗  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๘  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๓)  พ.ศ.  ๒๕๔๒  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๓๗) มาตรา  ๗๗  ทวิ  เพิ่มเติมโดยมาตรา  ๙  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๓) พ.ศ.  ๒๕๔๒  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๓๘) มาตรา  ๗๗  ตรี  เพิ่มเติมโดยมาตรา  ๙  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๓)  พ.ศ.  ๒๕๔๒  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๓๙)มาตรา  ๗๗  จัตวา  เพิ่มเติมโดยมาตรา  ๙  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๓)  พ.ศ.  ๒๕๔๒  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๔๐)มาตรา  ๗๗  เบญจ  เพิ่มเติมโดยมาตรา  ๙  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๓)  พ.ศ.  ๒๕๔๒  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๔๑)มาตรา  ๘๔  ทวิ  เพิ่มเติมโดยมาตรา  ๓๒  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๔๒)มาตรา ๘๕  วรรคหนึ่ง  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๓๓  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๔๓)มาตรา  ๙๖  วรรคหนึ่ง  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๓๔  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๔๔)มาตรา  ๙๗  ความเดิมถูกยกเลิกโดยมาตรา  ๓๕  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๔๕)มาตรา  ๑๐๓  วรรคสาม  เพิ่มเติมโดยมาตรา  ๓๖  แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  ดังที่พิมพ์ไว้นี้

 

(๔๖)มาตรา  ๑๐๔  วรรคสอง  ความเดิมถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติประกันสังคม  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๗  และให้ใช้ความใหม่แทน  ดังที่พิมพ์ไว้นี้