ร่าง พระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….(ฉบับบูรณาการแรงงาน)
ความเป็นมา
เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน ซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย , มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน , เครือข่ายแรงงานนอกระบบ , เครือข่ายปฏิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ , สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย , สภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย และเครือข่ายผู้ประกันตน โดยการสนับสนุนของแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เล็งเห็นความสำคัญของการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ในโอกาสที่กฎหมายประกันสังคมบังคับใช้มานาน 20 ปี (กันยายน 2533 – กันยายน 2553) จึงได้ร่วมกันยกร่าง “พระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ”(ฉบับบูรณาการแรงงาน) มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2552 โดยการยกร่างกฎหมายจะให้ความสำคัญต่อการปรับปรุงสำนักงานประกันสังคม (สปส.) จากหน่วยราชการระดับกรม เป็นองค์กรมหาชนอิสระ ที่บริหารจัดการด้วยคณะกรรมการที่มีความรู้ความสามารถและมีส่วนร่วมจากผู้ประกันตนและนายจ้างปลอดพ้นจากการครอบงำแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองและข้าราชการได้ง่าย รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขขอบเขตการบังคับกฎหมายเงินสมทบและสิทธิประโยชน์และการบริหารด้านต่างๆ ให้มีความโปร่งใสเป็นธรรมและเหมาะสมมากขึ้น การขยายสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน และการขยายการคุ้มครองแรงงานทุกภาคส่วน
ในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายประกันสังคมดังกล่าว คณะทำงานได้ศึกษาพิจารณากฎหมายหลายฉบับเพื่อเป็นแนวทางประกอบการปรับปรุงกฎหมายประกันสังคม ได้แก่
1. พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
2. พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550
3. พระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542
4. รายงานการศึกษาวิจัยเรื่องการจัดตั้งสำนักงานประกันสังคมเป็นองค์การมหาชน และร่างพ.ร.บ.ประกันสังคมที่จัดทำโดยสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2546)
คณะทำงานเพื่อจัดทำกฎหมายองค์กรอิสระด้านงานประกันสังคม และปรับปรุงหลักเกณฑ์เงื่อนไขการบริหารให้เป็นธรรม ประกอบด้วยผู้แทนหลายฝ่าย ดังต่อไปนี้
- น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
- นายมนัส โกศล ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจด้านแรงงานและ ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย
- นายชาลี ลอยสูง ประธานสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิกส์ ยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทย ( TEAM )
- นายชัยสิทธิ์ สุขสมบูรณ์ อดีตผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการประกันสังคมและประธานสหพันธ์แรงงานธนาคารและการเงินแห่งประเทศไทย
- นายกอบ เสือพยัคฆ์ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดน่าน
- นายทวีป กาญจนวงศ์ ประธานมูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย
- นายสมศักดิ์ ทองงาม ประธานชมรมผู้ประกันตนและผู้แทนโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งขบวนการแรงงานเพื่อการคุ้มครองสุขภาพและสวัสดิการแรงงาน
- นายดำรง สังวงษ์ ผู้แทนเครือข่ายแรงงานนอกระบบ
- นายตุลา ปัจฉิมเวช ผู้แทนจากศูนย์ช่วยเหลือวิกฤตแรงงาน และที่ปรึกษาสหพันธ์แรงงานปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์แห่งประเทศไทย
- นายเมี่ยน เวย์ ผู้แทนมูลนิธิร่วมมิตรไทย-พม่า (ANM)
- นางสุนทรี หัตถี เซ่งกิ่ง ผู้แทนมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ
- นายบัณฑิต แป้นวิเศษ ผู้แทนมูลนิธิเพื่อนหญิง
- นายบัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ ที่ปรึกษาแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน สสส. และอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้านคุ้มครองสิทธิแรงงานและการประกอบอาชีพ
สาระสำคัญของร่างกฎหมายประกันสังคม(ฉบับบูรณาการแรงงาน) สรุปได้ดังนี้
(1) ขอบเขตการคุ้มครอง
1.1 ขยายคุ้มครองถึงลูกจ้างชั่วคราวทุกประเภทของราชการรวมถึงลูกจ้างผู้รับงานมาทำที่บ้านและลูกจ้างทำงานบ้านอันมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย
1.2 ห้ามมิให้ส่วนราชการใดออกกฎหมายเพื่อยกเลิกการใช้บังคับแก่กิจการและลูกจ้างที่กฎหมายนี้ใช้บังคับในภายหลัง
1.3 การยกเว้นคุ้มครองกิจการหรือลูกจ้างกลุ่มใดในอนาคต ต้องได้รับการเห็นชอบโดยคณะกรรมการประกันสังคม
(2) ปรับปรุงคำนิยาม 4 คำ ได้แก่
2.1 “ลูกจ้าง” ให้หมายรวมถึง ลูกจ้างทำงานบ้านอันมิได้ประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย และลูกจ้างผู้รับงานไปทำที่บ้าน
2.2 “นายจ้าง”หมายรวมถึง นายจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและผู้จ้างงานในงานที่รับไปทำที่บ้าน
2.3 “ค่าจ้าง”หมายรวมถึง เงินที่นายจ้างจ่ายให้ในวันที่ลูกจ้างหยุดงานโดยมิได้เป็นความผิดของลูกจ้าง
2.4 “ทุพพลภาพ”หมายรวมถึง ผู้ประกันตนที่สูญเสียอวัยวะส่วนใดหรือสูญเสียสมรรถภาพของร่างกาย โดยตัดคำว่า “จนไม่สามารถทำงานได้”เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทดแทนที่เป็นธรรมตามความเป็นจริง
(3) ปรับปรุงองค์ประกอบ คุณสมบัติ อำนาจหน้าที่ ที่มาและวาระของคณะกรรมการประกันสังคม ประกอบด้วยประธานและกรรมการอีก 4 ฝ่ายๆ ละ 8 คนรวมเป็น 33 คน ดังนี้
1. ประธานกรรมการ มาจากการสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับงานประกันสังคม โดยการสรรหาของกรรมการโดยตำแหน่ง, ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง, ฝ่ายผู้ประกันตนและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
2. กรรมการโดยตำแหน่ง ประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการ สปส. รวม 8 คน
3. กรรมการฝ่ายนายจ้างและกรรมการฝ่ายผู้ประกันตน ฝ่ายละ 8 คน
4. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สรรหาโดยกรรมการข้อ 2 และ 3 เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ด้านต่างๆ ด้านงานประกันสังคม, งานหลักประกันสุขภาพ, ด้านการแพทย์, ด้านเศรษฐศาสตร์การคลัง, บริหารการลงทุน, ด้านกฎหมาย, ด้านสวัสดิการสังคม และด้านสิทธิมนุษยชนด้านละ 1 คน รวม 8 คน
3.2 กรรมการฝ่ายผู้ประกันตนและฝ่ายนายจ้าง
– มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของผู้ประกันตนและนายจ้างที่ขึ้นทะเบียนกับ สปส.
– ผู้ประกันตนอาจลงสมัครรับเลือกตั้งโดยอิสระหรือองค์กรเอกชน องค์กรด้านแรงงานที่ไม่ว่าจะจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหรือไม่และดำเนินกิจกรรมด้านสวัสดิการแรงงานไม่น้อยกว่า 5 ปี ส่งลงสมัครได้
– กำหนดคุณสมบัติผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนและฝ่ายนายจ้างให้กว้างขวางชัดเจน
เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนหรือมีส่วนได้เสียกับการดำรงตำแหน่ง หรือเกี่ยวข้องกับการเมืองและเป็นบุคคลสุจริตเชื่อถือได้ เช่น ไม่เคยต้องโทษคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก,ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออกจากราชการหรือหน่วยงานเอกชน, กรรมการรวมถึงคู่สมรส บุตรและบุพการีต้องไม่ประกอบกิจการที่มีส่วนได้เสียกับสำนักงานไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม, ไม่เป็นผู้มีตำแหน่งทางการเมืองหรือรับผิดชอบบริหารพรรคการเมือง ฯลฯ
3.3 กำหนดให้กรรมการประกันสังคมถือเป็นตำแหน่งระดับสูงตามกฎหมาย ปปช. ที่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อเปิดเผยต่อสาธารณะชน และถือเป็นพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาด้วย
3.4 คณะกรรมการประกันสังคม มีอำนาจกำหนดนโยบายบริหารงานและควบคุมดูแลการบริหารงานประกันสังคมอย่างเต็มที่, รวมทั้งการเห็นชอบแผนงาน แผนการเงินงบประมาณของสำนักงานแต่ละปี, การกำหนดกฎเกณฑ์การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินประจำปี การบริหารงานทั่วไปและบริหารบุคลากร, การกำหนดหลักเกณฑ์การรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกฝ่าย, หลักเกณฑ์การช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้เสียหายจากบริการทางการแพทย์โดยหาผู้กระทำผิดมิได้หรือไม่ได้รับค่าเสียหายในเวลาอันควร ฯลฯ
3.5 ปรับปรุงวาระดำรงตำแหน่งของกรรมการให้อยู่คราวละ 4 ปี ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน และพ้นจากตำแหน่งได้ถ้ากรรมการขาดประชุม 3 ครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุสมควร หรือมีมติกรรมการ 2 ใน 3 ของเท่าที่มีอยู่ให้พ้นจากตำแหน่งเพราะบกพร่องต่อหน้าที่, มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือหย่อนความสามารถ และเปิดให้ผู้ประกันตนไม่น้อยกว่า 1,000 คนเข้าชื่อร้องขอให้คณะกรรมการพิจารณาถอดถอนกรรมการคนใดออกได้ด้วย
3.6 ปรับปรุงให้คณะกรรมการประกันสังคม (รวมทั้งคณะกรรมการอื่นๆ ตามกฎหมาย เช่น คณะกรรมการอุทธรณ์ คณะกรรมการตรวจสอบ คณะกรรมการกองทุน) ที่มิใช่เป็นกรรมการมาโดยตำแหน่ง การแต่งตั้งต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของหญิงและชาย กรรมการจะดำรงตำแหน่งอื่นตามกฎหมายนี้ไม่ได้ และกรรมการทุกชุดจะเป็นอนุกรรมการได้ไม่เกิน 2 คณะ
(4) สำนักงานประกันสังคมและเลขาธิการ สปส.
4.1 กำหนดให้สำนักงาน มีฐานะนิติบุคคลที่ไม่ใช่หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงแรงงานอยู่ภายใต้กำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี
4.2 เลขาธิการต้องเป็นผู้ทำงานเต็มเวลาและมีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่เหมาะสมเกี่ยวกับการบริหารงานประกันสังคม และมีคุณสมบัติอีกหลายอย่างที่ต้องเป็นบุคคลมีวุฒิภาวะและตรวจสอบได้ว่าเป็นคนสุจริต เชื่อถือยอมรับได้ชัดเจนตามที่กฎหมายกำหนด ให้ดำรงตำแหน่งโดยมีสัญญาว่าจ้างกับสำนักงาน วาระ 4 ปีมีอำนาจบริหารควบคุมงานและบุคลากรตามนโยบายคณะกรรมการและกฎหมายโดยไม่ขึ้นกับรัฐมนตรีสั่งการ
(5) โครงสร้างการบริหารกองทุนประกันสังคม
นอกจากมีคณะกรรมการประกันสังคม คณะกรรมการอุทธรณ์และคณะกรรมการแพทย์
ตามรูปแบบกฎหมายเดิมแล้วจะมีคณะกรรมการตรวจสอบ และคณะกรรมการลงทุนที่คณะกรรมการประกันสังคมออกระเบียบสรรหาขึ้นมา เพื่อเป็นหลักประกันในการตรวจสอบการบริการกองทุนและจัดหาผลประโยชน์การลงทุนเป็นไปอย่างโปร่งใส ติดตามควบคุมได้โดยผู้มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์
(6) อัตราเงินสมทบ และประโยชน์ทดแทน
6.1 ผู้ประกันตนมีโอกาสสามารถตรวจสอบนายจ้างได้ว่านำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนแก่ สปส. หรือไม่ ? เท่าไร ?ทุกครั้ง หรือไม่ ? โดยให้นายจ้างต้องเปิดเผยให้ทราบโดยปิดประกาศในสถานประกอบการโดยเปิดเผยตามระยะเวลาที่กำหนด
6.2 กำหนดให้ฐานค่าจ้างคำนวณเงินสมทบ ขึ้นกับค่าจ้างผู้ประกันตนแต่ละราย ไม่กำหนดอัตราสูงสุดไว้และผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาจ่ายเงินสมทบ เช่น จ่ายเงินสมทบไม่ถึง 120 เดือน มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ร้อยละ 70 ของค่าจ้างหากจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 120 เดือนขึ้นไปมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนการขาดรายได้ร้อยละ 80 ของค่าจ้าง
6.3 ผู้ประกันตนที่ออกจากงาน จะขยายให้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนยาวนานขึ้นตามระยะเวลาจ่ายเงินสมทบ กล่าวคือถ้าจ่ายเงินสมทบไม่เกิน 10 ปีมีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนต่อเนื่องอีก 8 เดือน ถ้าจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนต่อไปได้อีก 12 เดือน
6.4 กำหนดให้ผู้ประกันตนที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยหรือทุพพลภาพที่มิใช่เนื่องจากการทำงาน มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนบริการทางการแพทย์ ตั้งแต่วันแรกที่เป็นลูกจ้าง แม้ภายหลังออกจากงาน และรับประโยชน์ทดแทนกรณีบำนาญชราภาพจนกระทั่งตาย เพื่อให้สอดคล้องกับสิทธิประโยชน์ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกระทรวงสาธารณสุขดูแลอยู่
ประโยชน์ทดแทนกรณีเจ็บป่วยให้เพิ่มเติมค่าส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และตรวจสุขภาพประจำปีแก่ผู้ประกันตนด้วย
6.5 กำหนดให้ผู้ประกันตนเลือกไปใช้บริการสถานพยาบาลทุกแห่งได้ตามที่มีข้อตกลงกับสำนักงานประกันสังคมไม่ว่ากรณีปกติหรือกรณีฉุกเฉิน โดยเป็นหน้าที่ของ สปส. กับ สถานพยาบาลจะตกลงจ่ายค่าบริการ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการแพทย์กำหนด โดยไม่กำหนดให้ลูกจ้างต้องเลือกใช้สถานพยาบาลที่ใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงานไว้ล่วงหน้าเหมือนเดิม
6.6 กำหนดให้ผู้ประกันตนหรือผู้อุปการะมีสิทธิรับเงินสงเคราะห์บุตรสำหรับบุตรอายุไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์
6.7 กำหนดให้ผู้ประกันตนมีสิทธิระบุเป็นหนังสือให้บุคคลใดรับประโยชน์ทดแทนกรณีค่าทำศพและเงินสงเคราะห์กรณีตายรวมทั้งรับประโยชน์ทดแทนกรณีบำเหน็จชราภาพได
6.8 ผู้ประกันตนตามมาตรา 39
– กำหนดให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาไม่น้อยกว่า 7 เดือน (เดิม 12 เดือน) ต่อมาความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง มีสิทธิสมัครเป็นผู้ประกันตนยาวขึ้นคือภายใน 12 เดือน (เดิม 6 เดือน) นับแต่สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน
– ผู้ประกันตน ม.39 ออกเงินสมทบ 1 เท่า และรัฐบาลออกเงินสมทบ 2 เท่า (เดิมรัฐจ่าย 1 เท่าผู้ประกันตนจ่าย 2 เท่า)
– ความเป็นผู้ประกันตน ม.39 สิ้นสุดลงเมื่อ
– ไม่ส่งเงินสมทบ 6 เดือนติดต่อกัน (เดิม 3 เดือน)
– ภายในระยะ 12 เดือนส่งเงินสมทบไม่ครบ 6 เดือน (เดิม 9 เดือน)
6.9 ผู้ประกันตนตามมาตรา 40
ให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่าอัตราเงินสมทบที่ได้รับจากผู้ประกันตนมิใช่ลูกจ้าง (เดิมรัฐบาลไม่จ่าย และคณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไขเป็น ให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบไม่เกินกึ่งหนึ่งของอัตราเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่าย
6.10 กรณีว่างงาน
1. ผู้ประกันตนไม่ต้องจ่ายเงินสมทบกรณีว่างงาน นับแต่เดือนถัดจากเดือนที่มีอายุ 55 ปีบริบูรณ์
2. ผู้ประกันตนที่ว่างงาน มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพพร้อมกับกรณีว่างงาน
3. ตัดเงื่อนไขเหตุยกเว้นไม่ได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานให้เหลือเพียงไปขึ้นทะเบียนกับสำนักงานจัดหางาน และเป็นผู้มีความสามารถทำงานได้ พร้อมทำงานที่เหมาะสมตามที่จัดหาให้หรือไม่ปฏิเสธการฝึกงาน และได้ไปรายงานตัวไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง
(7) ยกเลิก 2 มาตรา คือ
7.1 มาตรา 55 ยกเลิกบทบัญญัติที่ให้นายจ้างขอลดส่วนเงินสมทบได้เนื่องจากไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป กฎหมายใช้บังคับมานานแล้ว
7.2 มาตรา 61 ยกเลิกเหตุที่ผู้ประกันตนไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเพราะจงใจก่อให้เกิดขึ้น หรือยินยอมให้ผู้อื่นก่อให้เกิดขึ้น เพราะเป็นการนำหลักการประกันธุรกิจเอกชนมาใช้บังคับ โดยไม่สอดคล้องกับประโยชน์ทดแทนที่ผู้ประกันตนจะได้รับจำนวนน้อยอยู่แล้ว
(8) เพิ่มบทลงโทษ
8.1 กรณีนายจ้างไม่นำส่งเงินสมทบหรือนำส่งเงินสมทบไม่ครบ เป็นเงินเพิ่มร้อยละ 4 (เดิมร้อยละ 2)
8.2 หากนายจ้างเคยถูกลงโทษตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว ยังทำผิดซ้ำความผิดเดียวกันอีก ให้ศาลพิจารณาเพิ่มโทษแก่นายจ้างนั้นอีก 1 ใน 3 ของอัตราโทษจำคุก หรือเพิ่มอีกกึ่งหนึ่งของอัตราโทษปรับสำหรับความรับผิดนั้น
ที่มา : มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน