สรส.เลือก ประกอบ ปริมล นั่งเลขา แทน สาวิทย์ แก้วหวาน หลังหมดวาระ


สรส.จัดเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ สาวิทย์ แก้วหวาน ฝากสานงานต่อ สร้างความเข้มแข็งให้ขบวนแรงงานทุกกลุ่ม

​วันที่ 7 ธันวาคม 2559 สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.)ได้มีการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2558 โดยมีการจัดการเลือกตั้งเลขาธิการ และคณะกรรมการบริหาร ที่สโมสรการท่าเรือแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย คลองเตย กรุงเทพมหานคร ด้วยคณะกรรมการบริหารสรส.ชุดที่ 16 ซึ่งมีคุณสาวิทย์ แก้วหวานเป็นเลขาธิการได้หมดวาระลง จึงได้เปิดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ขึ้น ประกอบด้วยตำแหน่งเลขาธิการ และกรรมการบริหารในสัดส่วนต่างๆ 20 ตำแหน่ง โดยมีการกำหนดสัดส่วนคณะกรรมการบริหารดังนี้ กรรมการตำแหน่งสัดส่วนสตรีจำนวน 6 ตำแหน่ง กรรมการบริหารสัดส่วนแรงงานหนุ่มสาว 1 ตำแหน่ง และตำแหน่งกรรมการบริหารที่เหลือทั้งหญิงและชายจำนวน 13 ตำแหน่ง ซึ่งครั้งนี้ในตำแหน่งเลขาธิการสรส.มีผู้สมัคร 2 ท่าน ประกอบด้วย นายอำพล ทองรัตน์ จากรักษาการประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย และนายประกอบ ปริมล ประธาน สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยซึ่งผลการเลือกตั้ง นายประกอบ ปริมลได้รับเลือกตั้งเป็นเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ โดยได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้วจำนวน 83 เสียง จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 100 คน มีผู้มาใช้สิทธิ์ 96 คน 

นายประกอบ กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของตนเองนั้นคือ มุ่งมั่นที่จะรวมพลังแรงงานรัฐวิสาหกิจให้เป็นหนึ่งเดียวพร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้กับสมาชิกทุกกลุ่มทุกระดับอย่างสร้างสรรค์ แก้ไขปัญหาอุปสรรคปัญหาเพื่อความเป็นเอกภาพ โดยมีพันธกิจ 1. ต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการมีส่วนร่วมให้ เกิดจิตสำนึกร่วมกันรับผิดชอบต่อองค์กรและสาธารณะ 2.ติดต่อประสานสัมพันธ์กับองค์กรสมาชิกให้เป็นหนึ่งเดียว 3. สร้างความโปร่งใส เสมอภาค และเป็นธรรมกับสมาชิกทุกองค์กร 4. เสริมสร้างความเป็นเอกลักษณ์ขององค์กรให้เป็นที่ประจักษ์ 5. สร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 

แนวคิดในการบริหารจะใช้หลักการมีส่วนร่วมยึดหลักธรรมาภิบาลเพื่อให้กับสรส.มีกรรมการบริหารงานที่โปร่งใสมากขึ้น จะทำงานบริหารสรส. ให้เป็นที่เชื่อถือและศรัทธาของสมาชิกและมีความเตรียมพร้อมเพื่อรองรับกระแสการเปลี่ยนแปลงทางภาวะวิกฤตต่างๆที่เกิดขึ้นปัจจุบันภาคหน้าได้อย่างทันสถานการณ์โดยยึดหลัก 

1. หลักนิติธรรม กำหนดแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ให้แต่ละหน่วยส่วนงานอย่างชัดเจน 

2. หลักคุณธรรม ต้องปฏิบัติตามฐานคุณธรรม จริยธรรม วางมาตรฐานในการใช้จ่ายงบเงินสรส. โดย สมาชิกมีการตรวจสอบ

3. หลักความโปร่งใส วางระบบความรับผิดชอบของหน่วยงาน กรรมการในการทำหน้าที่อะไรแต่ละด้าน ส่งเสริมให้สมาชิกเข้ามีส่วนร่วมรับรู้การทำงานวางแผนติดตามประเมินผล 

4. หลักการมีส่วนร่วม เพิ่มช่องแนวทางที่จะให้สมาชิกเข้าถึงข้อมูลข่าวสารโดยนำความคิดเห็นจากภายนอกและภายในไปใช้ในการปรับปรุงการบริหาร สรส. สมาชิกสามารถเข้ามามีส่วนร่วมรับรู้รับทราบร่วมเสนอปัญหาให้ข้อคิดเห็นร่วมปฏิบัติร่วมตัดสินใจร่วมรับใช้ประโยชน์ตลอดจนตรวจสอบติดตามประเมินผล 

5. หลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นำระบบแนวคิดที่ได้จากการเสนอของสมาชิกมาบูรณาการร่วมเข้าในการทำงาน จัดสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารสองทาง คือสั่งการแล้วรับฟัง พัฒนาความรู้ใหม่ใหม่ มาปรับปรุงการบริหารงานอย่างต่อเนื่องสร้างความวางใจ ความเชื่อถือ ความผูกพันระหว่างกรรมการบริหารกับสมาชิกเจ้าหน้าที่ 

6. หลักองค์กรองค์กรเรียนรู้ ส่งเสริมการเรียนรู้สร้างความกระตือรือร้นในการเรียนรู้และสมาชิกองค์กรมีการปรับปรุงแบบมีการจัดประชุมอบรมสัมมนา พัฒนาความรู้ต่างๆและประเมินเรียนรู้ประสบการณ์ความผิดพลาดในอดีต เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดในอนาคต เสริมสร้างภาวะผู้นำตามกระบวนการผลักดันให้เกิดทัศนคติที่สอนกันได้ 

7. หลักการบริหารจัดการ จัดทำแผนภูมิขั้นตอนและระยะเวลาการทำงานเช่นการเพิ่มโอกาสสมาชิกสรส. โดยการติดตามประสานงานองค์กรสมาชิกเก่าที่ลาออกจากองค์กรสมาชิกที่จ่าย ที่ต้องจ่ายค่าบำรุงองค์กรสหพันธ์แรงงานกลับเข้ามาเป็นสมาชิก โดยมีการรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกโดยใช้หลักการแบบการมีส่วนร่วมส่งเสริมการทำงานที่เป็นทีมสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงการทำงานในทุกภาคส่วนกำหนดมาตรการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธี รับฟังอย่างตั้งใจ กำหนดหลักการทำงานแบบกระจายอำนาจ ความรับผิดชอบ กระจายโอกาสแก่มวลสมาชิก เมื่อได้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวแล้วจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นเกิดศรัทธาทำให้การบริหารสรส. เป็นไปตามทิศทางตามกรอบที่ถูกต้องดียิ่งขึ้น เกิดประสิทธิภาพบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ธรรมนูญสรส. จะต้องแก้ไขเพื่อความเชื่อมั่นศรัทธา พัฒนาสรส.

ด้วยหลักการบริหารกิจการสรส.เพื่อองค์กรสมาชิกโดยให้สมาชิกมีส่วนร่วมตรวจสอบในการใช้หลักการประสานงานประสานความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผล สร้างให้เกิดความเชื่อมั่นศรัทธาต่อองค์กรสมาชิกและสมาชิกได้รับประโยชน์สูงสุดและนำไปสู่ความมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ไขความน่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนต่อไป

ด้านนายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กล่าวว่า วันนี้ถือว่าเป็นวันสุดท้ายในการดำรงตำแหน่งเลขาธิการสมาพันธ์ฯ ตนเห็นว่า การทำงานของ สรส. มีความสำคัญต่อขบวนการแรงงาน ซึ่งได้มีการดำเนินการทำงานร่วมกับคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับขบวนการแรงงาน เป็นองค์กรขับเคลื่อนผลักดันด้านนโยบาย สวัสดิการ ค่าจ้าง กฏหมายต่างๆ รวมถึงอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)ฉบับที่ 87และ98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวเจรจาต่อรอง การเคลื่อนไหวในวันสำคัญต่างๆ เช่นวันกรรมกรสากล วันงานที่มีคุณค่า วันแรงงานข้ามชาติสากล โดยมองว่า แรงงานทั้งผองคือพี่น้องกัน และอยากเห็นสรส.ทำงานร่วมกันโดยไม่แบ่งแยก ซึ่งปัจจุบัน การทำงานขยายการจัดตั้งเหมือนกับอดีตที่รัฐวิสาหกิจมีการทำงานร่วมกับแรงงานเอกชนในการให้คำปรึกษาปัญหาด้านสิทธิแรงงาน ร่วมศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน และได้เข้าช่วยทำงานแก้ปัญหาให้กับแรงงานข้ามชาติ ด้านการละเมิดสิทธิแรงงาน แรงงานนอกระบบ ทำการสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป แต่วันนี้แรงงานยังถูกเอาเปรียบขูดรีดรุนแรงขึ้น สรส. ต้องทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนเพื่อป้องกันปกป้อง รักษาสมบัติของชาติต่อต้านการทุจริต คอรัปชั่น ทำงานขับเคลื่อสังคมร่วมกับผู้ทุกข์ยาก คนยากจนโดยมองเรื่องชนชั้น เพราะแรงงานคือคนส่วนใหญ่แต่กลับไม่เคยมีรัฐบาลไหนมองเห็น ฉะนั้นต้องทำงานร่วมกันตามฐานที่มีการวางไว้ 

“แม้วันนี้จะไม่ได้เป็นเลขาธิการสรส.ที่ทำมาถึง 8 วาระแล้ว การที่ทำงานแรงงานมานานกว่า 30 ปี ก็ขออยู่เพื่อรับใช้ทางชนชั้นต่อไปถึงแม้ไม่มีตำแหน่งเรียกใช้ได้เสมอ” นายสาวิทย์กล่าว

นักสื่อสารแรงงาน รายงาน