วันแรงงานคึกคัก นายกขอบคุณแรงงาน


นายกขอบคุณผู้ใช้แรงงาน ด้านผู้ใช้แรงงานหลายจังหวัดจัดงาน เรียกร้องปรับค่าจ้าง เพิ่มสวัสดิการ
วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ว่า เนื่องในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องแรงงานทั่วประเทศทุกท่าน แรงงานถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ทั้งในภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการผลิตและบริการ ให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็ง และการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลมีนโยบายในการสร้างงาน สร้างอาชีพที่มั่นคงให้แก่คนไทย โดยมุ่งหวังให้คนไทยทุกคนมีงานทำ มีรายได้ และมีหลักประกันทางอาชีพ พร้อมทั้งมีความมุ่งมั่นที่จะดูแลพี่น้องแรงงานไทยในทุกสาขาอาชีพ ทั้งแรงงานภายในประเทศและในต่างประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี ให้แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ ให้ได้รับความคุ้มครอง สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐอย่างเท่าเทียม และมีรายได้ที่มั่นคง ตลอดจนได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่แรงงานไทย ในการก้าวสู่ยุคประเทศไทย 4.0 ซึ่งจะทำให้เราสามารถเพิ่มรายได้ให้กับทุกคนได้ในระยะต่อไป

รัฐบาลขอขอบคุณและขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกท่าน ที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าไปอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตลอดมา ในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 นี้ ผมขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย และอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้โปรดอภิบาลประทานพร ให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกท่าน พร้อมทั้งครอบครัว จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกำลังกาย กำลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อร่วมเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

ด้านนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า ปีนี้จึงเรียกร้องขอให้มีการปฎิรูปโครงสร้างค่าจ้างอย่างเป็นธรรมเท่ากันทั่วประเทศ ส่วนอัตราเท่าไหร่นั้นต้องมาหารือร่วมกัน ยืนพื้นต้องมากกว่า 300-400 บาทต่อวัน เพราะค่าจ้างวันละ 300-310 บาท แค่คนเดียวยังไม่เพียงพอ ขณะที่ความเป็นจริงต้องเลี้ยงดูครอบครัวถึง 2 คน เรียกว่า มีพ่อ แม่ ลูก ซึ่งมากกว่า 600-900 บาทด้วยซ้ำ จึงต้องมาหารือกันทุกฝ่าย ทั้งรัฐ นายจ้าง ลูกจ้าง ว่าต้องอัตราเท่าไร

นายสาวิทย์ ยังกว่าอีกว่า ประเทศไทยชนชั้นปกครองได้พยายามในทุกรูปแบบสร้างความแปลกแยกในมวลกรรมกรมาเป็นระยะ ทั้งใช้อำนาจเผด็จการ ใช้กฏหมาย ใช้กลไกของรัฐในการหว่านล้อม แทรกแซงทำให้เกิดความแตกแยก แม้วันกรรมกรสากลที่เคยจัดครั้งแรกในประเทศไทย เมื่ประมาณปี 2490 รัฐบาลในห้วงเวลานั้น ยังชี้นำแลกกับการให้เงินสนับสนุนการจัดงานโดยเปลีายนชื่อเป็น “วันแรงงานแห่งชาติ” และไม่เคยสนับสนุน ส่งเสริมให้คนงานรวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง จากการแทรกแซงของรัฐบาลทำให้ขบวนการแรงงานไทยอ่อนแอมาจนถึงปัจจุบัน จากความไม่เข้มแข็งของขบวนการแรงงานรวมตัวกันยากด้วยกฏหมายไม่เอื้ออำนวย ขาดอำนาจในการเจรจาต่อนอง ทำให้ประเทศอยู่ในสภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย” เกิดปัญหาความเหลื่อมลำในระดับต้นๆของโลก เกิดปัญหาการทุจริค คอรัปชั่น อย่างที่ทราบกัน ถึงวันนี้ สถานการณ์โลกกำลังอยู่ในช่วงปฏิบัติอุตสากรรมยุคที่ 4 หรือที่เรียกว่ายุค 4.0 ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกนัโดด รวดเร็ว ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยซึ่งจะมีการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำงาน และการดำเนินชีวิตขอวคน ทั้งภาคการปลิต การบริดาร การสื่อสารการเกษตร และอื่นๆ ซึ่งก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการผลิต และความสัมพันธ์ทางผลิต แม้จะมีส่วนที่ดีในแง่ของความรวดเร็ว สะดวก สบายแต่ก็จะเกิดผลกระทบในวงกว้างอย่างรุนแรงเช่นกัน ทั้งการตกงาน ว่างงาน ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ การผูกขาด การเข้าถึงเทคโนโลยีของธุรกิจและภาคการผลิต รายย่อย ความมั่งคั่งจะตกอยู่ในอาณาจักรของคนไม่กี่คน และนั้นหมายถึงการแย่งชิงและความรุนแรงจะตามมา ประเทศไทยเองแม้จะเขย่งขา ก้าวสู่เวทีแข่งขันกันนานาชาติ ภายใต้นโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” แต่ก็ไม่มีกรอบการทำงานและนโยบายเชิงรุก และมาตรการรองรับผลกระทบที่ชัดเจนและประเทศไทยก็ไม่ใช่ผู้ผลิต ผู้คิดค้นเทคโนโลยี ทุกสิ่งล้วนแต่ต้องพึ่งพา จึงยังไม่นู้ว่าทิศทางประเทศชาติ ประชาชนจะก้าวเดินสู่ทิศทางใด

วันกรรมกรสากลปีนี้จึงขอให้รัฐบาลได้ตระหนักถึงจังหวะก้าวในการกำหยดทิศทางของประเทศที่จะต้องมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดของสังคมกว่ส 40 ล้านคน ที่จะต้องมีมาตรการในการสนับสนุน ส่งเสริม ดูแลอย่างจริงจัง เพราะเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ทั้งในเชิงยุทธศาสตร์และนโยบายก็คงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ และข้อเสนอที่ได้ยื่นต่อรัฐบาลในปีนี้จำนวน 10 ข้อ เป็นข้อเสนอเร่งด่วนเพื่อให้รัฐบาลรับไปดำเนินการ เป็นส่วนกนึ่งท่ามกลางปัญหาอีกมากมายแต่จะสามารถร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ หากรัฐบาลมีความจริงใจ

“สิ่งสำคัญที่สุด ขอให้มวลหมู่พี่น้องกรรมกร ผู้ใช้แรงงานทั้งหลาบ จงได้ตระหนักเสมอว่าสิ่งที่เสนอไปนั้น ทั้งในระยะสั้นเฉพาะหน้า รวมทั้งการแก้ไขปัญหาระยะยาวคงไม่สามารบรรลุถึงเป้าหมายต่อการกินดี อยู่ดี มีความสุขได้ตราบใดที่คนงายยังอ่อนแอ ดังนั้นพวกเราทั้งหลายจำต้องสามัคคีกีน รวมพลังกันและร่วมกันสำแดงพลังในโอกาสที่เหมาะสม เพื่อผลักดันควมต้องการ ข้อเสนอให้เป็นจริง พลังที่มีอยู่ อาจไม่เพียงพอจากสภาพการทำงานสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป และสุดแล้วก็มีเราและพวกเราทั้งหลาบ คือผู้กำหนดอนาคตดังคำกล่าวที่ว่า “ภายนอกเป็นเงื่อนไข ภายในชี้ขาด” เราจึงจำเป็นต้องร่วมกันทำงานขยายการจัดตั้ง ร่วมกันแสวงหามิตรสหาย และแนวร่วมจากภาคส่วนของสังคมให้มากขึ้น คือความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้า แต่เชื่อมั่นว่า พลังของพวกเราชนชั้นผู้ใช้แรงงานจะสามารถเปลี่ยนผ่านสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีความสุข ดังความต้องการได้” นายสาวิทย์กล่าว

ส่วนนายชาลี ลอยสูง รองประธาน คสรท. นายประกอบ ปริมล เลขาธิการสมาพันธ์รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ต่างขึ้นกล่าวข้อเรียกร้อง โดยส่วนใหญ่ขอให้รัฐบาลเห็นความสำคัญกับผู้ใช้แรงงานด้วยการปรับขึ้นค่าจ้างอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ขึ้นค่าจ้างตามความเป็นจริง โดย 300 บาทต่อวันไม่เพียงพอ เพราะแรงงาน 1 คนเลี้ยงดูครอบครัว 2 คน ค่าจ้างควรพอเลี้ยงจำนวนคน ส่วนจำนวนเท่าไรต้องมาหารือร่วมกัน

จากนั้นทางเครือข่ายผู้ใช้แรงงานได้ทำพิธีเปิดด้วยธีม “แรงงานสร้างชาติ ไม่เป็นทาส 4.0” และเคลื่อนขบวนเดินไปยังองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เป็นอันเสร็จกิจกรรมวันแรงงานแห่งชาติ

สำหรับข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ประกอบด้วย 1.รัฐต้องจัดให้มีรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าที่มีคุณภาพให้ประชาชนทุกคนได้เข้าถึงอย่างเท่าเทียมโดยไม่เลือกปฏิบัติ อาทิ ด้านสาธารณสุข ประชาชนทุกคนเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและไม่มีค่าใช้จ่าย 2.รัฐต้องกำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรมให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน อาทิ กำหนดให้มีโครงสร้างค่าจ้าง และปรับค่าจ้างทุกปี 3.รัฐต้องให้สัตยาอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน และอนุสัญญาฯฉบับที่ 98 ว่าด้วยการปฏิบัติตามหลักการแห่งสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง เพื่อสร้างหลักประกันในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง และอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 183 ว่าด้วยการคุ้มครองความเป็นมารดา (ตามรัฐธรรมนูญ หมวด 3 มาตรา 48)

4.รัฐต้องปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพรัฐวิสาหกิจ ในการให้บริการที่ดีมีคุณภาพเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน อาทิ จัดตั้งกองทุนพัฒนารัฐวิสาหกิจ 5.รัฐต้องยกเลิกนโยบายที่ว่าด้วยการลดสวัสดิการพนักงานรัฐวิสาหกิจและครอบครัว 6.รัฐต้องปฏิรูประบบประกันสังคม เช่น จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ในสัดส่วนที่เท่ากัน ระหว่างรัฐนายจ้าง ลูกจ้าง ตามหลักการของ พ.ร.บ.ประกับสังคมพ.ศ.2533 และนำเงินส่งสมทบที่รัฐบาลค้างจ่ายให้เต็มตามจำนวน เพิ่มสิทธิประโยชน์ ผู้ประกันตนมาตรา 40 ให้เท่ากับมาตรา 33 เป็นต้น

7.รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด กรณีที่นายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย เช่น การปิดกิจการ หรือยุบเลิกกิจการในทุกรูปแบบ (ตามรัฐธรรมนูญหมวด 5 มาตรา 53) 8.รัฐต้องจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงจากการลงทุนโดยให้นายจ้างจ่ายเงินเข้ากองทุนเพื่อเป็นหลักประกันในการคุ้มครองสิทธิแรงงาน เมื่อมีการยกเลิกหรือเลิกกิจการไม่ว่ากรณีใดก็ตาม 9.รัฐต้องเร่งรัดให้มีการพัฒนากลไกการเข้าถึงสิทธิ การบังคับใช้ พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 อย่างจริงจัง และ 10.รัฐต้องจัดสรรเงินงบให้กับสถาบันความปลอดภัยฯ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการเรื่องความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพ

นายชินโชติ แสงสังข์ ประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานแห่งประเทศไทย ประธานการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ 2560 ได้ยื่นข้อเรียกร้องถึงมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 5 ข้อ โดยนายชินโชติกล่าวว่า ข้อเรียกร้องที่ 1 ให้รัฐบาลรับรองอนุสัญญาองค์การเเรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 เเละ 98 ซึ่งเรียกร้องตั้งแต่ปี 2535 สมัยรัฐบาล รสช. แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ทุกรัฐบาลที่ผ่านมามีแต่โปรยยาหอมว่าจะเร่งการรับรองแต่ก็ไม่ได้มีการรับรอง ล่าสุดประเทศไทยถูกจัดอันดับการเฝ้าระวังเรื่องการค้ามนุษย์อันดับ 2.5 และกำลังพยายามลดระดับมาอยู่ที่ 2 ให้ได้ ดังนั้น คิดว่าหากรัฐบาลให้การรับรองอนุสัญญาดังกล่าวจะช่วยให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากขึ้น

2.ให้รัฐบาลปฏิรูปสำนักงานประกันสังคม ยกสถานะเป็นองค์กรอิสระ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงแรงงาน ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถนำเงินไปลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้ เพราะถ้าไม่ทำอะไรกองทุนล้านล้านบาทจะหมดในอีกไม่กี่สิบปี นอกจากนี้ ขอให้เเก้ไขกฎกระทรวงเกี่ยวกับบัตรรับรองสิทธิให้ใช้ได้ทุกโรงพยาบาล กรณีลูกจ้างเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุอันเนื่องมาจากการทำงาน เมื่อลูกจ้างใช้สิทธิกองทุนเงินทดเเทนครบตามหลักเกณฑ์เเล้วให้ลูกจ้างมีสิทธิใช้กองทุนประกันสังคมต่อได้ และผู้ประกันตนมาตรา 39 เเละ 40 ให้มีสิทธิเข้าเป็นสมาชิกกองทุนเงินออมเเห่งชาติได้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานประกาศคืนสิทธิผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ที่ขาดจากการเป็นผู้ประกันตนเข้ามาขึ้นทะเบียนได้ใหม่ ตามระยะเวลาที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด ให้เเก้ไขหลักเกณฑ์การจ่ายค่ารักษาพยาบาลทางการเเพทย์กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินเเละอุบัติเหตุให้เท่าที่จ่ายจริง รวมถึง เเก้ไขหลักเกณฑ์การจ่ายเงินทดเเทนกรณีขาดรายได้จากอุบัติเหตุเนื่องจากการทำงานเดิม 60 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ของค่าจ้าง

3.ให้กระทรวงเเรงงานเร่งปรับปรุงกฎหมายเพื่อการคุ้มครอง ส่งเสริมเเละพัฒนาคุณภาพชีวิตเเรงงานนอกระบบให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของเเรงงานนอกระบบเเละหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และนำไปสู่การตั้งกรมแรงงานนอกระบบ 4.ให้รัฐบาลสนับสนุนเเละผลักดันกฎหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจ เเละยุตินโยบายการเเปรรูปหรือแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจให้เป็นบริษัทเอกชน หรือยุบรัฐวิสาหกิจเเละให้รัฐบาลยกเว้นการเก็บภาษีเงินได้กรณีค่าชดเชยเเละเงินตอบเเทนความชอบของพนักงานรัฐวิสาหกิจรวมถึงเงินได้อื่นๆ ซึ่งเป็นเงินงวดสุดท้ายของลูกจ้าง เเละ 5.ให้รัฐบาลตราพระราชกฤษฎีกาการจัดเก็บเงินสะสมเเละเงินสมทบเพื่อเป็นกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามบทบัญญัติว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ มาตรา 163 เเห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเเรงงาน พ.ศ.2541 ทั้งนี้ เพื่อให้บั้นปลายชีวิตแรงงานที่เกษียณอายุ

ในวันแรงงานแห่งชาติปีนี้ ขบวนผู้ใช้แรงงานตามจังหวัดต่างๆได้ร่วมกันจัดกิจกรรมในอีกหลายจังหวัด เช่น กลุ่มสหภาพแรงงานภาคตะวันออก ได้เดินรณรงค์ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2560 ข้อเรียกร้อง 10 ข้อตามคณะกรรมการสมานฉันท?แรงงานไทย เครือข่ายแรงงานภาคเหนือได้จัดขึ้นในวันที่ 30 เมษายน 2560 โดยมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลในโอกาสวันกรรมกรสากล ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อการคุ้มครองด้านสิทธิแรงงาน ในระบบ ข้ามชาติ และแรงงานภาคบริการ แรงงานนอกระบบ กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง ยื่นข้อเรีบกร้องต่อผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี สภาองค์การลูกจ้างสภาศูนย์กลาง ชุมนุมหน้ากระทรวงแรงงาน 

ทั้งนี้ยังมีอีกหลายจังหวัดที่จัดกิจกรรมเช่นปลูกป่า ปล่อยพันธุ์ปลา พันธุ์ปูสู่ทะเล และการพัฒนาพื้นที่ตามโครงการต่างๆ ซึ่งในส่วนของผู้ใช้แรงงานที่จังหวัดกระบี่ ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างเนื่องจากค่าจ้าง 300 บาทไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ เรียกร้องให้มีการปรับแก้กฏหมาย สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพิ่มสิทธิประโยชน์การประกันสังคม ค่ารักษาพยาบาล เงินบำเหน็จ บำนาญชราภาพ เป็นต้น

นักสื่อสารแรงงาน รายงาน