กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ
ชี้แจง
4 ประเด็นเห็นร่วม
5 ประเด็นเห็นต่าง
7 ประเด็นสำคัญแก้แล้วดีขึ้น
…………………………………………………………………………….
จากการติดตามการแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่องของกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ซึ่งมีหลายประเด็นที่ภาคประชาชนเห็นว่าควรต้องแก้ไข เพื่อทำให้กฎหมายมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น และมีข้อเสนอในหลายประเด็นที่ภาคประชาชนไม่เห็นด้วยต่อการแก้ไขกฎหมาย แต่เนื่องจากที่ผ่านมากระบวนการแก้ไขกฎหมายมีความไม่สมดุลของกรรมการ ที่ใช้เสียงข้างมากเป็นตัวตัดสิน จนเป็นที่มาของการเคลื่อนไหวไม่เห็นด้วยในการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้
ดังนั้น กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพจึงต้องการที่จะชี้แจงประเด็นเห็นต่าง ประเด็นเห็นร่วม และประเด็นที่ต้องการแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อประชาชนทุกคนที่ติดตามการเคลื่อนไหวครั้งนี้โดยมีหลักการดังนี้
1. หลักการมาตรฐานการรักษาเดียวกันของทุกกองทุน (สวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม บัตรทองที่รวมกองทุนคืนสิทธิ กองทุนผู้ประกันตนคนต่างด้าวหรือกองทุนบัตรสุขภาพแรงงาน)
2. หลักการการแยก “ผู้จัดบริการ” และ “ผู้ซื้อบริการ”
3. หลักการครอบคลุมประชากรทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้รอพิสูจน์สถานะบุคคล
4. หลักการการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาชนในการร่วมจัดบริการ ร่วมให้บริการด้านสาธารณสุข (มีสิทธิในการจัดบริการที่เป็นช่องว่าง) นิยามเรื่องการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนให้มีความชัดเจน และสามารถสนับสนุนภาคประชาชนในการทำงานส่งเสริมป้องกันโรค ร่วมให้บริการ ตามประกาศ สธ. ตามคำสั่ง คสช.ที่ ๓๗/๕๙(ม.๔๔)
5. หลักการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
4 ประเด็นเห็นร่วมที่กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เห็นด้วย กับการแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีดังนี้
1. เห็นด้วยในการแก้ไขมาตรา 14 เรื่องเงื่อนไขการเป็นกรรมการหลักประกันสุขภาพและคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข ที่กำหนดไม่ให้เป็นกรรมการควบทั้งสองตำแหน่ง และระบุการดำรงวาระของแต่ลำตำแหน่งให้มีความรัดกุมและเปิดโอกาสให้มีตัวแทนกรรมการใหม่ๆ ในด้านต่างๆ ให้เข้ามาร่วมพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เนื่องจากที่ผ่านมามีกรรมการหลายคน ที่เปลี่ยนตำแหน่งสลับระหว่างการเป็นบอร์ดหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข ทำให้มีกรรมการบางคนอยู่ในวาระทั้งสองส่วนนานถึง ๑๖ ปี
2. เห็นด้วยในการแก้ไขมาตรา 15 ซึ่งแก้ไขให้สอดคล้องกับมาตรา 14 ด้วยเหตุผลเดียวกัน
3. เห็นด้วยในการแก้ไขมาตรา 29 เรื่องการเสนอขอรับงบประมาณประจำปีต่อคณะรัฐมนตรีของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยได้เพิ่มเติมเรื่องของรายได้ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการบริหารกองทุน เนื่องจากงานบริการด้านสุขภาพ อัตราการป่วย การตายเป็นการคาดการณ์ ควรมีระบบบริหารจัดการในลักษณะเงินหมุนเวียน
4. เห็นด้วยในการแก้ไขมาตรา 42 เรื่องยกเลิกการไล่เบี้ย เนื่องจากการกำหนดเรื่องการไล่เบี้ย เป็นประเด็นที่มีผลต่อท่าทีระหว่างผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ดังนั้นการยกเลิกมาตรานี้เป็นไปเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพและผู้ป่วย
5 ประเด็นเห็นแตกต่างที่กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ไม่เห็นด้วย ในการแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีดังนี้
1. ไม่เห็นด้วยเรื่องการเพิ่มนิยาม “เงินกองทุนหลักประกันสุขภาพ” ตามมาตรา 3 เนื่องจากการเพิ่มนิยามคำนี้ จะขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของกองทุนในมาตรา 38 ที่ระบุว่า “กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย สนับสนุน และส่งเสริมการจัดบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ แต่การแก้ไขกลับเพิ่มนิยามที่จะส่งผลให้ไปจำกัดความหมายของ “กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ด้านการสนับสนุน ส่งเสริม การจัดบริการ ซึ่งสามารถสนับสนุนเป็นรูปแบบอื่นได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะตัวเงินเท่านั้น เช่น การสนับสนุนเป็นยา เวชภัณฑ์ เป็นต้น
ไม่เห็นด้วยเรื่องการแก้ไขนิยาม “สถานบริการ” ตามมาตรา 3 เนื่องจาก “หลักการ” ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นอกจากมุ่งเน้นการส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงการบริการรักษาอย่างมีมาตรฐานแล้ว ยังมุ่งเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมในการร่วมจัดบริการด้านสุขภาพของประชาชน ประชาสังคม องค์กรสาธารณะ รวมทั้งองค์กรท้องถิ่น ดังนี้ จึงให้เพิ่มนิยาม “องค์กรชุมชน องค์กรเอกชนและภาคเอกชนที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการแสวงหาผลกำไร” ตามหลักการในข้อ 4 เรื่องการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคประชาชนที่ระบุในหลักการการแก้กฎหมายของภาคประชาชน
ทั้งนี้ มีหลักฐานเชิงประจักษ์จากผลการทำงานของเครือข่ายภาคประชาชนในการสร้างการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็น ยกตัวอย่างเช่น การทำงานร่วมให้บริการของกลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวีในรูปแบบ “ศูนย์องค์รวม” ที่สามารถติดตาม ดูแล ให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถกินยาได้อย่างต่อเนื่อง ลดปัญหาการดื้อยา ลดอัตราการเสียชีวิต หรือการริเริ่มของชุมชนในการให้บริการด้านการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค (Community Led Services) กับกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเปราะบางต่างๆ เป็นต้น
2. ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 1 ในการปรับลดองค์ประกอบของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยดังนี้
2.1 ไม่เห็นด้วยกับการที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นรองประธาน เนื่องจากขัดกับหลักการแยกผู้จัดบริการและผู้ซื้อบริการ (Purchaser Provider Split) เพราะปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้จัดบริการรายใหญ่ รวมทั้งตัดข้อความที่จะแก้ไขใน วรรค 2 ของ มาตรา 17 “...ให้รองประธานกรรมการปฏิบัติหน้าที่แทน หากประธานกรรมการและรองประธานกรรมการ…..”โดยให้กลับมาใช้ข้อความเดิมในวรรค 2 มาตรา 17
2.2 ให้คงจำนวนผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามเดิม
ตามมาตรา 13 (3) ผู้แทนเทศบาลหนึ่งคน องค์การบริหารส่วนจังหวัดหนึ่งคน องค์การบริหารส่วนตำบลหนึ่งคน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบอื่นหนึ่งคน โดยให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละประเภทคัดเลือกกันเอง
2.3 ไม่เห็นด้วยในการกำหนดให้มีผู้แทนสภาวิชาชีพ จำนวน 5 คน เนื่องจากมองว่าบทบาทของสภาวิชาชีพ เกี่ยวข้องกับการให้ความเห็นและพิจารณาด้านมาตรฐานในการให้บริการทางการแพทย์ จึงควรปรับให้ไปเป็นผู้แทนในคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขแทน
3. ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 41 ที่ระบุเพียงให้ได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น แต่เห็นว่าควรต้องเพิ่มเรื่องการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น ให้ทั้งผู้รับบริการและผู้ให้บริการ และยังคงเห็นร่วมว่าให้เพิ่มผู้ให้บริการเข้าไปในมาตรานี้ด้วย เหตุผลคือ
3.1 เพื่อลดการฟ้องคดีกับผู้ประกอบวิชาชีพ
3.2 ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาที่เหมาะสม
3.3 พัฒนาคุณภาพหน่วยบริการโดยไม่มีระบบเพิ่มโทษ
4. ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 46 ที่เสนอให้มีการแยกเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากรออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว ด้วยเหตุผลดังนี้
4.1 ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขร่างที่รับฟังความเห็น กรณีมาตรา 46 (2) เนื่องจากการแยกเงินเดือนออกจากงบเหมาจ่ายรายหัวจะมีผลกระทบต่อการกระจายบุคลากร และในการแก้ไขมาตรานี้มีนัยยะสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนในด้านการเข้าถึงบริการ หากบุคลากรไม่เพียงพอ ดังนั้น ควรต้องมีการศึกษาด้านวิชาการ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณามาตรานี้ เพื่อให้เกิดความรอบคอบ เนื่องจากการแก้กฎหมายจะส่งผลต่อการปฏิบัติในระยะยาว
5. ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 48 (8) ที่เสนอเพิ่มเฉพาะวิชาชีพ และผู้ให้บริการ เนื่องจากจะเป็นการลดสมดุลกรรมการในการพิจารณากรณีปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ให้บริการและผู้ป่วย ซึ่งในกฎหมายปัจจุบันสัดส่วนของผู้ให้บริการและวิชาชีพมีมากอยู่แล้ว ในขณะที่ผู้ป่วย และผู้รับบริการกลับมีสัดส่วนน้อย ดังนั้น ภาคประชาชนจึงเสนอเพิ่มตัวแทนประชาชนจาก 5 คนเป็น 8 คน โดยให้เพิ่มสัดส่วนของงานด้านคุ้มครองผู้บริโภค และหน่วยรับเรื่องร้องเรียนที่เป็นอิสระจากผู้ให้บริการตามมาตรา 50 (5)
7 ประเด็นสำคัญแก้แล้วดีขึ้น ที่กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพเห็นว่า ต้องมีการแก้ไข กฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีดังนี้
1. เสนอให้แก้ไขมาตรา 5 โดยให้เพิ่มให้หมายรวมถึง บุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ คนไทยพลัดถิ่น คนไทยตกสำรวจ และตัดวรรคสองของมาตรา 5 เรื่องการให้กรรมการสามารถกำหนดการร่วมจ่ายของประชาชนด้วยเหตุผลดังนี้
1.1 เพื่อให้ครอบคลุมประชากรทุกคนโดยเฉพาะกลุ่มคนไทยที่มีปัญหารอพิสูจน์สถานะและสิทธิ คนไทยพลัดถิ่น คนไทยตกสำรวจ
1.2 ยกเลิกการเก็บร่วมจ่าย ณ หน่วยบริการ หรือในแต่ละครั้งที่เข้ารับการบริการ เนื่องจากจะกระทบต่อการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยได้ และไม่สนับสนุนให้มีการเก็บเงินร่วมจ่ายในแต่ละครั้งที่ไปเข้ารับบริการ เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการ
ทั้งนี้การร่วมจ่ายจะก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติหลายมาตรฐาน ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างหน่วยบริการและผู้มารับบริการ ทำให้เกิดการตรวจสอบเศรษฐานะของบุคคล และสถานะของบุคคล เกิดการลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
2. เสนอให้แก้ไขมาตรา 9 ให้มีสิทธิประโยชน์ด้านบริการสาธารณสุขเดียวสำหรับทุกคน ด้วยเหตุผลดังนี้
2.1 สอดคล้องกับยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุข 20 ปี ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำในระบบบริการสาธารณสุข
2.2 เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
2.3 ยืนยันสิทธิมนุษยชนด้านสุขภาพ ที่ทุกคนได้รับบริการสาธารณสุขสิทธิประโยชน์เดียวกัน มีมาตรฐาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมในการรับบริการสุขภาพของประชาชน
2.4 ปัจจุบันมีสิทธิประโยชน์ในการรับบริการสาธารณสุขที่แตกต่างกัน
2.5 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุน
3. เสนอให้แก้ไขมาตรา 10 ให้มีสิทธิประโยชน์เดียวสำหรับประชาชนทุกคน และรัฐต้องจ่ายสมทบเรื่องสุขภาพให้ผู้ประกันตน ด้วยเหตุผลดังนี้
3.1 ลดความเหลื่อมล้ำให้ผู้ประกันตนที่จ่ายสมทบด้านสุขภาพตรงเพียงกลุ่มเดียว
3.2 สอดคล้องกับยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุข 20 ปี ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำในระบบบริการสาธารณสุข
3.3 เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
3.4 ยืนยันสิทธิมนุษยชนด้านสุขภาพที่ทุกคนได้รับบริการสาธารณสุขสิทธิประโยชน์เดียวกัน มีมาตรฐาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมในการรับบริการสุขภาพของประชาชน
3.5 ปัจจุบันมีสิทธิประโยชน์ในการรับบริการสาธารณสุขที่แตกต่างกัน
3.6 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุน
4. เสนอให้แก้ไขมาตรา 18 แก้ไขอำนาจของคณะกรรมการในการจัดหาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เงินกองทุน ด้วยเหตุผลดังนี้
4.1 เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงยา วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีราคาแพงสำหรับผู้ป่วยเช่นผู้ป่วยเอชไอวี มะเร็ง เป็นต้น
4.2 เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุน โดยเพิ่มอำนาจกรรมการให้สามารถจัดซื้อยาและอุปกรณ์การแพทย์ราคาแพง โดยในปัจจุบันสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ใช้งบประมาณจัดซื้อยารวมเพียงร้อยละ 4.9 ของการจัดซื้อยา ทำให้ประหยัดงบประมาณในรอบ 10 ปีได้มากถึง 50,000 ล้านบาท
4.3 ลดภาระงบประมาณของประเทศ หากไม่แก้กฎหมายให้สามารถจัดซื้อได้ รัฐบาลจะต้องหาเงินมาเพิ่มเติมปีละ 5,000 ล้านบาท ท่ามกลางทรัพยากรที่จำกัดของประเทศ
4.4 เปิดโอกาสให้เกิดการเก็บเงินร่วมจ่าย ณ หน่วยบริการ ซึ่งทำให้เกิดหลายมาตรฐานในบริการสาธารณสุข
4.5 เกิดความขัดแย้งระหว่างหน่วยบริการและผู้ป่วย
5. เสนอให้แก้ไขมาตรา 26 ให้สามารถตรวจสอบหน่วยบริการที่ไม่โปร่งใส ด้วยเหตุผลดังนี้
5.1 ภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณที่ได้รับทำให้ต้องมีการกำหนดการจ่ายเป็นลักษณะ Global budget ซึ่งหากหน่วยบริการใดที่ผลการตรวจสอบเชื่อได้ว่ามีการจงใจจัดทำข้อมูลเพื่อการเบิกจ่ายที่เกินจริงก็จะส่งผลกระทบกับหน่วยบริการอื่น ดังนั้น ควรมีมาตรการที่สามารถใช้อำนาจในการดำเนินการลงโทษทางปกครองกับหน่วยบริการที่จงใจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกินจริง เพื่อให้เกิดธรรมาภิบาลในการบริหารกองทุนและก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่หน่วยบริการที่ดำเนินการถูกต้อง ซึ่งการลงโทษทางปกครองเป็นการลงโทษการกระทำของบุคคลที่จงใจฝ่าฝืนกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งของเจ้าหน้าที่ โดยการกำหนดโทษคำนึงถึงพฤติกรรมในอดีตเป็นหลัก
5.2 การฝ่าฝืนที่เกิดขึ้นแล้วควรกำหนดโทษอย่างไรเพื่อป้องปรามมิให้เกิดพฤติกรรมแบบเดียวกันนี้อีกในครั้งต่อๆ ไป
5.3 เพื่อให้ สปสช.สามารถบริหารกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีธรรมาภิบาลและเกิดความเป็นธรรมแก่หน่วยบริการ
6. เสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 47/1 ให้กองทุนสามารถสนับสนุนองค์กรชุมชน องค์กรเอกชนและภาคเอกชนที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการแสวงหาผลกำไร ด้วยเหตุผลดังนี้
6.1 แก้ไขให้สอดคล้องตามคำสั่ง คสช.ที่ 37/2559
6.2เจตนารมณ์ของมาตรา 47 เพื่อเป็นการกระจายอำนาจ และสร้างการมีส่วนร่วมจากองค์กรท้องถิ่น รวมทั้งเป็นการคงไว้ซึ่งหลักการของการสร้างการมีส่วนร่วมขององค์กรประชาชน องค์กรสาธารณะประโยชน์ที่ไม่ดำเนินการเพื่อกำไร ซึ่งในการให้บริการสาธารณสุขจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคประชาชนโดยเฉพาะบริการสาธารณสุขเชิงรุก ดังนั้นการบูรณาการงานในระดับพื้นที่ ให้องค์กรชุมชน องค์กรเอกชนและภาคเอกชนที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการแสวงหาผลกำไร สามารถรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้
7. เสนอให้ตัดบทเฉพาะกาลมาตรา 66 ออกทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 9 มาตรา 10 เรื่องการบริหารจัดการกองทุนด้านสุขภาพของประเทศให้เป็นกองทุนเดียว
กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ
ประวัติศาสตร์ 10 ปีที่ผ่านมามีการยกระดับจากความใฝ่ฝันของประชาชนมาเป็นกฎหมายของประเทศ กว่า 9 หมื่นรายชื่อผนึกกำลังกันผลักดัน จนทำให้สามารถออกกฎหมาย “พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” เมื่อปลายปี 2545 พัฒนาระบบการบริหารจัดการรักษาสุขภาพแบบมีมาตรฐาน บนพื้นฐานการคำนวณค่าใช้จ่ายอย่างเป็นจริง เป็นธรรม สำหรับทุกฝ่าย เกิดระบบการจ่ายเงินค่ารักษาที่พัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบอย่างมืออาชีพของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นระบบประกันสุขภาพระบบแรก และระบบเดียวที่ผู้แทนประชาชนส่วนต่างๆ มีส่วนร่วมในการบริหารและควบคุมคุณภาพอย่างแท้จริง มีสัดส่วนของเครือข่ายประชาชนในคณะกรรมการ และอนุกรรมการทุกระดับ
ระหว่างเส้นทาง ก็มีคลื่นลมที่มากระทบระบบเป็นระยะๆจากกลุ่มที่เห็นต่าง ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับสภาวะขาดแคลนบุคคลากรที่จะดูแลประชากรในระบบ มีความพยายามจะเปลี่ยนแปลงหัวใจของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกลับไปสู่ยุคที่ “คนจน ไม่มีสิทธิป่วย” อยู่อย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีการและกลยุทธ์ที่หลากหลาย
ความฝันของภาคประชาชนที่ร่วมลงชื่อกันหลายหมื่นรายชื่อ ยังไม่บรรลุเป้าหมายทั้งหมด กฎหมายกำหนดว่ารัฐต้องดำเนินการหลอมรวมระบบหลักประกันสุขภาพทั้งประเทศให้เป็นระบบเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน และคุ้มครองสิทธิการรักษาเท่าเทียมกัน ในขณะที่ปัจจุบันยังมีระบบการรักษาพยาบาลถึง ๓ ระบบใหญ่ที่มีมาตรฐาน และคุณภาพต่างกัน มีการบริหารจัดการที่ต่างกัน
กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1. จับตาการดำเนินงานของรัฐบาล รัฐมนตรีสาธารณสุข และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในการบริหารระบบหลักประกันสุขภาพให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ และกฎหมายที่ประชาชนร่วมสร้างมาแต่ต้น
2. การเปิดโปงความไม่โปร่งใสของการดำเนินงานของระบบหลักประกันสุขภาพ ทั้งการบริหารจัดการส่วนกลาง และการดำเนินการในระดับ จังหวัด อำเภอ ตำบล และสถานพยาบาล
3. การนำเสนอข้อเท็จจริงของการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม มีคุณภาพ มีมาตรฐาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าระบบการรักษาของบัตรทองมีมาตรฐานและคุ้มค่า มากกว่าระบบของข้าราชการที่ผลาญเงินภาษีอย่างมหาศาล และการสร้างมายาภาพของประกันสังคม
เครือข่ายประชาชนที่ร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเฝ้าติดตามมาโดยตลอด ตระหนักถึงภาวะคุกคามนี้ จึงต้องออกมาส่งเสียงและแสดงตัวตนว่าเราเป็น “กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ” เปิดตัวครั้งแรกในเดือนมกราคม2555 ประกอบไปด้วย เครือข่ายประชาชนดังนี้ เครือข่ายเด็กและเยาวชน เครือข่ายผู้หญิง เครือข่ายผู้สูงอายุ เครือข่ายผู้พิการ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี เครือข่ายผู้ป่วยเรื้อรัง เครือข่ายผู้ใช้แรงงาน เครือข่ายชุมชนแออัด เครือข่ายเกษตร เครือข่ายชนกลุ่มน้อย เครือข่ายผู้บริโภค